กะหล่ำปลี ... ของดีที่คุณแม่มือใหม่ต้องมีไว้ติดตัว โดยเฉพาะเวลาที่มีอาการ เต้านมคัด นั้น ขอบอกเลยว่าเจ็บแบบสุดๆเลยล่ะ ซึ่งหลายคนอาจเป็นหนักถ...
แมลงสาบ...เพื่อนบ้านตัวร้ายที่แอบมาเยี่ยมเยือนบ้านคุณกลางดึกทั้งๆที่ไม่ได้รับเชิญ เชื่อว่าหลายคนคงกำลังประสบปัญหากับการมองหาวิธีไล่แมลงสาบแบบง่ายๆแบบไม่มีการต้องเสียเลือดเนื้อกันค่ะ
สำหรับวิธีไล่แมลงสาบให้ออกจากบ้านด้วยวิธีที่ค่อนข้างจะเมตตาปราณีนั้น แน่นอนว่าการพึ่งสูตรไล่แมลงแบบธรรมชาติก็ช่วยได้มากทีเดียวค่ะ
1. ใบกระวาน เครื่องเทศอีกหนึ่งชนิดที่นิยมนำมาใช้แต่งกลิ่นในอาหารต่างๆ ที่สำคัญคือช่วยไล่แมลงสาบได้ดีนักแล สำหรับวิธีใช้ใบกระวานนั้นเพียงแค่เรานำใบกระวานไปวางไว้ตามจุดที่แมลงสาบชอบออกมาหากิน ให้วางเอาไว้จนกว่าแมลงสาบจะหนีไปในที่สุดค่ะ
2. สเปรย์พริกไทย อีกหนึ่งวิธีไล่แมลงสาบแบบง่ายๆที่สามารถทำได้จากของในครัว สำหรับวิธีทำสเปรย์พริกไทยนั้น อันดับแรกให้ผสมพริกไทย 2 ช้อนโต๊ะ กับน้ำสะอาด ¼ ถ้วยตวง จากนั้นก็คนให้เข้ากัน แล้วนำเอาส่วนผสมดังกล่าวมาเทใส่กระบอกสเปรย์ แล้วก็นำไปฉีกพ่นตามจุดที่เคยเห็นว่ามีแมลงสาบ หรืออาจนำเอาพริกไทยเม็ดใส่ถุงผ้าโปร่งเล็กๆแล้วนำไปวางก็ได้ เพียงเท่านี้เจ้าแมลงสาบก็จะค่อยๆหายตัวไปในบัดดลค่ะ
3. กานพลู เครื่องเทศสารพัดประโยชน์ เพียงแค่คุณนำเอากานพลูมาใส่ถุงผ้าบางๆ แล้วนำไปวางตามซอกตู้ เตียง หรือมุมห้องที่พบว่ามีแมลงสาบมาป้วนเปี้ยน แต่ถ้าขอบความสะดวกก็อาจใช้น้ำมันกานพลูหยดใส่เศษผ้าผืนเล็กๆแล้วนำไปวางตามจุดที่คิดว่ามีแมลงสาบ เพียงเท่านี้เจ้าแมลงร้ายก็จะค่อยๆหายไป แบบที่คุณไม่ต้องไปฆ่ามันเลยแม้แต่ตัวเดียวค่ะ
แมลงสาบ ... เพื่อนบ้านตัวร้ายที่แอบมาเยี่ยมเยือนบ้านคุณกลางดึกทั้งๆที่ไม่ได้รับเชิญ เชื่อว่าหลายคนคงกำลังประสบปัญหากับการมองหา วิธีไล่แมลงสา...
หากมองผิวเผินสิ่งเหล่านี้อาจมองดูคล้ายถุงขยะสีฟ้าที่ถูกทิ้งเกลื่อนชายหาด แต่ความจริงแล้วพวกมันคือ เวเลลลา (Velella) สัตว์น้ำรูปร่างคล้ายแมงกะพรุนที่ถูกพัดเกยตื้นจนตายเกลื่อนชายหาดในรัฐแคลิฟอร์เนียของของสหรัฐอเมริกา
เวเลลลา อยู่ในคลาสไฮโดรซัวไฟลัมไนดาเรีย ตัวมีสีน้ำเงินเข้ม ขนาดจะเล็ก มีความยาวรอบตัวประมาณ 7-10 เซนติเมตร ลักษณะเด่นจะเป็นส่วนที่คล้ายกับใบพัดเรือ เป็นสัตว์กินเนื้อ รวมไปถึงแพลงก์ตอน แม้เจ้าเวเลลลาจะไม่มีพิษอันตรายอะไรต่อมนุษย์มากนัก แต่เราก็ควรหลีกเลี่ยงที่จะสัมผัสมันโดยตรง เนื่องจากพิษของมันทำให้ปวดแสบปวดร้อนที่ดวงตาและปากได้เช่นกัน
หากมองผิวเผินสิ่งเหล่านี้อาจมองดูคล้าย ถุงขยะสีฟ้า ที่ถูกทิ้งเกลื่อนชายหาด แต่ความจริงแล้วพวกมันคือ เวเลลลา (Velella) สัตว์น้ำรูปร่างคล้าย...
หากพูดถึงเมนูอาหารอีสานจานเด็ดที่ใครได้ลองทานแล้วเป็นต้องยกนิ้วให้ ดูเหมือนว่าเมนูเด็ดจากปลาไหลก็ควรเป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกันค่ะ แต่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่าปลาไหลนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่พยาธิหรือปรสิตชอบอาศัยอยู่มากที่สุดเช่นกันค่ะ
สำหรับพยาธิที่พบในปลาไหลนั้นส่วนใหญ่จะเป็นพยาธิตัวจี๊ด ซึ่งหากเราปรุงเมนูอาหารจากปลาไหลให้สุกด้วยความร้อนที่ไม่เพียงพอ เมื่อเรารับประทานเข้าไปเจ้าพยาธิตัวจี๊ดที่ยังไม่ถูกความร้อนฆ่าตายก็จะเข้าไปอาศัยอยู่ในร่างกายของเรา พร้อมกับหาโอกาสชอนไชไปตามผิวหนัง
ซึ่งเราสามารถสังเกตุได้จากเส้นนูนๆหรือรอยบวมตามผิวหนังที่มักจะมาพร้อมกับอาการคันยิบๆหรือรู้สึกแสบจี๊ดในบริเวณที่พยาธิเคลื่อนตัวผ่าน บ่อยครั้งที่พบพยาธิเคลื่อนที่เข้าไปในสมอง ทำให้เกิดอาการอักเสบ มีเลือดออก และเกิดอาการทางประสาท เป็นอัมพาต ชักและหมดสติ บางรายอาจถึงขั้นเสียชีวิตไปเลยก็มี
สำหรับวิธีป้องกันพยาธิตัวจี๊ดก็สามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ดื่มน้ำที่สะอาดไม่มีการปนเปื้อนของกุ้งหรือไรน้ำ และหลีกเหลี่ยงการรับประทานเนื้อปลาและเนื้อสัตว์ทุกชนิดแบบสุกๆ ดิบๆ
ภาพของพยาธิที่ผ่าออกมาจากตัวของปลาไหลที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
การไชตามผิวหนังของพยาธิ
หากพูดถึง เมนูอาหารอีสานจานเด็ด ที่ใครได้ลองทานแล้วเป็นต้องยกนิ้วให้ ดูเหมือนว่า เมนูเด็ดจาก ปลาไหล ก็ควรเป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกันค่ะ แต่หล...
ความเครียด สามารถเกิดขึ้นกับตัวเราได้ทุกสถานที่และทุกเวลา แต่ถ้าเราสามารถจัดการความเครียดให้อยู่หมัดได้ ก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีต่อตัวเราเองและคนรอบข้างได้มากๆเลยนะคะ
สำหรับวิธีลดความเครียดหรือวิธีทําจิตใจให้สงบไม่ฟุ้งซ่านนั้นไม่ยากอย่างที่หลายคนคิด เพราะบางวิธีอาจง่ายและให้ผลลัพท์ที่น่าทึ่งจนหลายๆคนต้องร้องว้าว!กันเลยทีเดียวค่ะ มาดูกันว่าวิธีไหนบ้างที่ช่วยคุณกลับมามีจิตใจที่สงบ มีสติ และไม่ฟุ้งซ่านอีกต่อไปค่ะ
1. น้ำเย็น หากคุณกำลังรู้สึกว่าตัวเองเริ่มใจร้อนและคุมสติไม่ค่อยอยู่ แน่นอนว่าการผ่อนคลายร่างกายด้วยน้ำเย็นๆช่างได้ผลดีนักแลค่ะ วิธีทำก็ง่ายมากๆ เพียงแค่คุณมีผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กๆ แล้วนำไปแช่ในน้ำเย็นๆ จากนั้นก็นำผ้าที่เย็นสดชื่นมาประคบบริเวณหลังหูและข้อมือของคุณ ซึ่งทั้งสองจุดนี้เป็นบริเวณที่หลอดเลือดดำวิ่งผ่าน เมื่อเราประคบผ้าเย็นๆลงไปจะช่วยระบายความร้อนออกไป จนทำให้ร่างกายของเราผ่อนคลาย และอารมณ์ที่กำลังร้อนๆก็จะค่อยๆดีขึ้นนั่นเองค่ะ
2. ดมส้ม หรือ เปลือกส้ม บางครั้งประโยชน์ของส้มก็ไม่ได้มีแค่เนื้อด้านในค่ะ เพียงแค่คุณนำส้มหรือเปลือกส้มมาดม กลิ่นหอมอ่อนๆของส้มจะช่วยลดความเครียดและช่วยให้อารมณ์ที่กำลังแปรปรวนกลับมาคงที่อีกครั้งหนึ่งค่ะ
3. ฝึกการหายใจ การหายใจอย่างถูกต้องนอกจากจะช่วยให้ชีวิตยืนยาวแล้วนั้น ยังช่วยผ่อนคลายความเครียด และทำให้จิตใจของเรากลับมาสงบเยือกเย็นมากขึ้นอีกด้วย เนื่องจากการฝึกหายใจช้าๆลึกๆ จะช่วยให้ร่างกายได้รับอากาศเข้าสู่ปอดมากขึ้น จากนั้นจะส่งผลให้สมองกลับมาแจ่มใสเพราะได้ออกซิเจน แถมยังช่วยปลดปล่อยความเครียดออกไปจากตัวจนหมดสิ้นอีกด้วยค่ะ
4. มะม่วง บางครั้งการทานผลไม้ก็ช่วยให้จิตใจสงบลงได้ด้วยนะ โดยเฉพาะการทานมะม่วงสุกหอมหวานแช่เย็นในวันที่อากาศร้อนๆ ต่อให้มีความเครียดหนักหนาสาหัสมากแค่ไหน สุดท้ายความอร่อยก็ช่วยปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างออกไปได้ภายในพริบตาเลยค่ะ เนื่องจากว่าในมะม่วงมีสารลินาโลออล (linalool) ที่ช่วยบรรเทาความเครียดให้ค่อยๆหายไปได้นั่นเอง
5. คาร์ดิโอ (cardio) เชื่อไหมว่าการออกกำลังกายก็ช่วยลดความเครียดได้ด้วยนะ เพียงแค่คุณหาเวลาว่างๆไปเต้นแอโรบิก ,วิ่ง , ปั่นจักรยาน หรือแม้แต่การไปว่ายน้ำบ้าง เพียงเท่านี้คุณก็ห่างไกลความเครียด แถมยังมีสุขภาพที่แข็งแรงอีกด้วยค่ะ
6. นับถอยหลัง บางครั้งถ้าเราต้องเจอกับเรื่องกดดันที่เกิดขึ้นแบบเฉพาะหน้า บางครั้งการนับเลขถอยหลังก็ช่วยได้ดีเลยทีเดียวค่ะ เพียงแค่คุณเริ่มนับเลขจาก 100 ถอยหลังลงมาเรื่อยๆจนกระทั่งเหลือ 0 ซึ่งหากยังไม่หายเครียด หรือสมาธิยังไม่กลับมาก็เริ่มนับถอยหลังอีกครั้ง ขอบอกว่าวิธีการนี้เหมาะสำหรับคนที่ไม่ต้องการแสดงออกให้คนรู้ว่าตัวเองกำลังจะปรี๊ดแตก!! นั่นเองค่ะ
ความเครียด สามารถเกิดขึ้นกับตัวเราได้ทุกสถานที่และทุกเวลา แต่ถ้าเราสามารถจัดการความเครียดให้อยู่หมัดได้ ก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีต่อตัวเราเองแล...
กลิ่นตัว อีกหนึ่งปัญหาหนักใจที่ลดความมั่นใจให้เราได้เกือบ 100 % ซึ่งสาเหตุของกลิ่นตัวนั้นความจริงแล้วมีหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการที่ร่างกายของเราผลิตเหงื่อออกมามากผิดปกติ การสวมใส่เสื้อผ้าชุดเดิม การรักษาความสะอาดที่ไม่เพียงพอ หรือแม้แต่อาหารที่เรารับประทานก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เรามีกลิ่นตัวแรงด้วยเช่นกันค่ะ
กลิ่นตัวเหม็นจากอาหารอาจเป็นสิ่งที่สร้างความลำบากใจให้เรามากพอสมควรเลยนะคะ โดยเฉพาะเมื่ออาหารที่เราชอบทานแบบสุดๆนั้นกลับเป็นต้นเหตุของกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ มาดูกันว่าอาหารประเภทใดบ้างที่ทานแล้วทำให้มีกลิ่นตัวแรงค่ะ
1. เนื้อแดง ในปี 2006 นักวิจัยจากสาธารณรัฐเช็ก (Czech Republic) ได้เก็บตัวอย่างเหงื่อจากคนที่ทานเนื้อสัตว์และคนทานมังสวิรัติ พบว่ากลิ่นเหงื่อของคนที่ทานอาหารที่ประกอบจากเนื้อสัตว์แรงกว่าคนทานมังสวิรัติหลายเท่าตัว และกลิ่นตัวจะยิ่งแรงมากขึ้นตามชนิดของเนื้อสัตว์ที่เราทานเข้าไปอีกด้วย
2. กระเทียม เครื่องเทศที่มักเป็นส่วนประกอบของอาหารเกือบทุกชนิด ซึ่งนอกจากจะทำให้คนที่ทานกระเทียมมีกลิ่นตัวแรงแล้วนั้น กลิ่นปากยังแรงมากอีกด้วย เนื่องจากว่าในเนื้อกระเทียมมีสารเคมีที่ชื่อว่า อัลลิอิน (Alliin) อยู่ในปริมาณมาก เมื่อกระเทียมถูกตัดหรือทำให้เกิดรอยช้ำ สารเคมีกับเอนไซม์ในกลีบกระเทียมจะทำปฏิกิริยาเปลี่ยนสารอัลลิอินให้กลายเป็นสารอัลลิซิน4 ซึ่งก่อให้เกิดกลิ่นเฉพาะตัวนั่นเอง
นอกจากกระเทียมจะทำให้มีกลิ่นตัวเหม็นแล้วนั้น กระเทียมยังส่งผลต่อเพศหญิงมากอีกด้วย เนื่องจากถ้าทานกระเทียมในปริมาณที่มากจนเกินไป จะทำให้ร่างกายเกิดความร้อน จนซูบผอม บางคนอาจมีอาการวิตก ชอบหงุดหงิดง่าย และยังทำให้ร่างกายเสียเหงื่ออย่างรุนแรง จนกระทั่งส่งผมเสียต่อม้าม,ตับอ่อน และไต เป็นต้น
3. หน่อไม้ฝรั่ง อีกหนึ่งสาเหตุกลิ่นตัวแรงที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อน โดยเฉพาะปัสสาวะของคนที่เพิ่งทานอาหารที่ประกอบไปด้วยหน่อไม้ฝรั่งนั้นจะมีกลิ่นฉุนรุนแรงมากกว่าปกติ เนื่องจากว่าในหน่อไม้ฝรั่งมีสารประกอบกำมะถันเรียกว่า กรดแอสพารากูสิค ที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นหลังจากที่ทานหน่อไม้ฝรั่งไปประมาณ 10 -15 นาที ก็จะยังทำให้ปัสสาวะมีกลิ่นรุนแรงอยู่นั่นเองค่ะ
4. ผักตระกูลกะหล่ำ เช่น บรอกโคลี กะหล่ำปลี และกะหล่ำดาว ผักที่อุดมไปด้วยกำมะถันหรือซัลเฟอร์ (Sulfur)ที่เป็นต้นเหตุของกลิ่นตัวอันรุนแรง รวมไปถึงกลิ่นผายลม ที่รับรองว่าเหม็นราวกับแก๊สไข่เน่า ดังนั้นถ้าไม่อยากมีกลิ่นตัวเหม็นแนะนำว่าควรเลี่ยงอาหารที่ประกอบจากผักเหล่านี้เป็นดีที่สุดค่ะ
5. เครื่องแกงกะหรี่ และ ยี่หร่า แน่นอนว่าคนที่หลงใหลในรสชาติอันแสนอร่อยของแกงกะหรี่ไก่อาจต้องยอมตัวเหม็นไปพักใหญ่ เพราะอาหารที่ประกอบไปด้วยเครื่องเทศเหล่านี้คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้กลิ่นตัวของคุณแรงเวอร์!! โดยเฉพาะกลิ่นน้ำมันหอมระเหยจากเครื่องแกง เช่น ใบยี่หร่า นั้นสามารถฝังอยู่ที่รูขุมขนของคุณ จนกระทั่งไปผสมกับเหงื่อจนกลายเป็นกลิ่นตัวที่อาจทำให้คนใกล้ตัวต้องเบือนหน้าหนีเลยทีเดียวค่ะ
6. หัวหอม เมื่อทานแล้วตัวอาจไม่หอมอย่างที่คุณหวัง เพราะในหัวหอมนั้นมีกำมะถันหรือซัลเฟอร์ (Sulfur) จำนวนมาก เมื่อทานอาหารที่มีส่วนประกอบของหัวหอมแล้วล่ะก็ น้ำมันในหัวหอมจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดภายหลังการย่อยในระบบย่อยอาหาร จากนั้นก็เข้าสู่ปอด และปลดปล่อยออกมาได้ทางลมหายใจ
ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่กลิ่นตัวของคุณจะเหม็นรุนแรง แถมยังมีกลิ่นลมหายใจและกลิ่นปากที่คละคลุ้งไปด้วยหัวหอมอีกด้วยค่ะ
กลิ่นตัว อีกหนึ่งปัญหาหนักใจที่ลดความมั่นใจให้เราได้เกือบ 100 % ซึ่งสาเหตุของกลิ่นตัวนั้นความจริงแล้วมีหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการที่...
ผิวแตกลาย ปัญหาผิวหนังที่สร้างความกังวลใจให้กับสาวๆกันมากพอสมควร โดยเฉพาะสาวๆที่เคยอ้วนมาก่อนแล้วจู่ๆก็ผอมลงแบบรวดเร็ว แน่นอนว่าปัญหาที่ตามมาก็คงหนีไม่พ้นผิวแตกลายตามแขน ขา น่อง หน้าท้อง รวมไปถึงส่วนอื่นๆของร่างกาย วันนี้เรามีเคล็ดลับสำหรับการลดรอยแตกลายตามผิวหนังมาฝากทุกคนกันค่ะ
อยากรักษาผิวแตกลายให้หายต้องทําไง? แม้ว่าการดูแลรักษาปัญหาผิวแตกลายอาจเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ค่อนข้างสูง แต่วันนี้เรามีวิธีรักษาผิวแตกลายง่ายๆจากสมุนไพรใกล้ตัว ที่รับรองว่าได้ผลดี และไร้สารเคมีอันตรายอีกด้วยค่ะ สำหรับสาวๆที่อยากแก้ไขปัญหาผิวพรรณ แต่ไม่อยากเปลืองตัง สามารถทำได้ตามวิธีดังต่อไปนี้ค่ะ
1. มันฝรั่ง อันดับแรกนำมันฝรั่งสดมา 1 หัว จากนั้นนำไปปอกเปลือก แล้วล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นนำมันฝรั่งที่ได้ไปบดให้ละเอียด แล้วนำมาทาบลงบริเวณผิวหนังที่แตกลาย ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่าให้สะอาด วิธีนี้ขอบอกเลยว่าได้ผลเฉพาะคนที่ผิวเริ่มแตกลายนะคะ และอาจต้องใช้เวลาในการทำนานพอสมควร แต่ก็เป้นวิธีที่ปลอดภัย และสามารถทำได้เองจากที่บ้านค่ะ
2. น้ำตาล บางครั้งของในครัวก็ช่วยเรื่องความสวยความงามได้มากจริงๆค่ะ สำหรับวิธีใช้น้ำตาลลดปัญหาผิวแตกลายนั้นก็สามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแค่นำน้ำตาลไปผสมกับน้ำมันอัลมอนด์และน้ำมะนาว โดยผสมในสัดส่วนที่พอเหมาะ คืออย่าให้เหลวหรือแห้งจนเกินไป เมื่อได้สครับตามสูตรลดผิวแตกลายแล้ว ก็นำเอาส่วนผสมที่ได้มาขัดเบาๆบริเวณผิวที่แตกลาย พยายามทำให้ได้สักอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง ทำไปเรื่อยๆจนกว่ารอยแตกจะค่อยๆจางลงไป แนะนำว่าควรทำควบคู่กับการทาครีมรักษาผิวแตกลายจะได้ผลดีมากๆค่ะ
3. น้ำมะนาว ใครจะไปรู้ว่าปัญหาผิวแตกลายสามารถรักษาให้ค่อยๆจางหายได้ด้วยน้ำมะนาวเปรี้ยวๆ เพียงแค่คุณใช้สำลีชุบน้ำมะนาวแล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นผิวแตกลายทุกวัน กรดธรรมชาติในน้ำมะนาวจะช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว แลยังช่วยให้บริเวณผิวหนังที่แตกลายค่อยๆจางลงอย่างช้าๆ สำหรับคนใจร้อนอยากหายเร็วแนะนำว่าควรใช้ครีมทารักษาควบคู่กับการทาด้วยน้ำมะนาวจะได้ผลลัพท์ที่ดีและเห็นผลเร็วขึ้นค่ะ
4. น้ำมันละหุ่ง อีกหนึ่งเคล็ดลับการรักษาผิวแตกลายด้วยวิธีจากธรรมชาติที่น่าลองไม่แพ้วิธีอื่นๆเลยค่ะ เพียงแค่คุณนำมันละหุ่งมาทาบริเวณผิวที่มีการแตกลาย จากนั้นก็ค่อยๆนวดเบาๆไปสักประมาณ 5-10 นาที หลังจากนั้นก็ใช้แผ่นความร้อน หรือผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นบิดหมาดๆนำมาวางทาบในบริเวณที่นวดดังกล่าว แล้วปล่อยทิ้งเอาไว้ประมาณ 30 นาที เมื่อครบก็เช็ดทำความสะอาดก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยค่ะ
สำหรับวิธีแก้ปัญหาผิวแตกลายด้วยน้ำมันละหุ่งนั้น ขอแนะนำว่าคุณควรทำซ้ำได้ทุกวัน จนกว่ารอยผิวแตกลายจะค่อยๆลดเลือน ซึ่งอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือน จึงจะสามารถเห็นผลที่ชัดเจน ฉะนั่นอย่าเพิ่งท้อไปก่อนนะคะ
5. ว่านหางจระเข้ อีกหนึ่งสมุนไพรใกล้ตัวที่ช่วยรักษาผิวแตกลายได้ดีนักแล เนื่องจากว่านหางจระเข้มีคุณสมบัติในการฟื้นฟู และซ่อมแซมเซลล์ผิวหนังที่เสื่อมสภาพนั่นเอง สำหรับวิธีทำก็เพียงแค่นำว่านหางจระเข้มาปอกเปลือกออกให้หมด จากนั้นก็ล้างจนเหลือแต่วุ้นขาวๆ แล้วนำมาทาลงไปบริเวณที่มีปัญหาผิวแตกลาย แนะนำว่าควรทำเป็นประจำทุกเช้าเย็น แล้วผิวที่แตกลายก็จะค่อยๆจางลงไปในที่สุดค่ะ
ผิวแตกลาย ปัญหาผิวหนังที่สร้างความกังวลใจให้กับสาวๆกันมากพอสมควร โดยเฉพาะสาวๆที่เคยอ้วนมาก่อนแล้วจู่ๆก็ผอมลงแบบรวดเร็ว แน่นอนว่าปัญหาที่ตาม...
สิว ปัญหากวนใจสาวๆที่อยากมีใบหน้าขาวสวยใสไร้ริ้วรอยด่างดำ แต่คงหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่ๆถ้าหากสิวยังผุดขึ้นมาตามใบหน้าอยู่อย่างนี้ สำหรับคนที่ยังเผชิญกับปัญหาสิวเก่ายุบ สิวใหม่เกิด ประมาณว่าผุดเอาๆ วันนี้เรามีวิธีจัดการปัญหาสิวแก้ไม่หายมาฝากทุกคนกันค่ะ
การรักษาสิวอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลยหรอกนะคะ วันนี้เราขอแนะนำวิธีการป้องกันการเกิดสิว แก้ปัญหารอยสิว รวมไปถึงวิธีลดรอยสิวที่คุณสามารถทำเองได้โดยไม่ต้องเสียเงินมากมาย ถ้าพร้อมกันแล้วมาดูวิธีแก้สิวให้หน้าสวยใสกันเลยค่ะ
1. น้ำมะนาว เลือกมะนาวสดๆมาหนึ่งลูก จากนั้นผ่าซีกแล้วบีบเอาแต่น้ำ จากนั้นนำคอตตอนบัดมาจุ่มน้ำมะนาวที่เตรียมเอาไว้ แล้วนำมาแต้มบริเวณรอยสิว ปล่อยทิ้งไว้จนแห้งแล้วจึงล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำเปล่า ขอแนะนำว่าควรทำทุกวันก่อนนอน จนกว่ารอยสิวจะค่อยๆจางลงไป แน่นอนว่าวิธีนี้อาจเห็นผลช้าไปหน่อย แต่ปลอดภัยจากสารเคมี 100 % ที่สำคัญคือไม่ต้องเสียเงินไปซื้อครีมแพงๆที่ให้ผลไม่ต่างกันเลยค่ะ
2. ว่านหางจระเข้ วิธีนี้เหมาะสำหรับคนผิวแพ้ง่ายค่ะ เพียงแต่เตรียมใบว่านหางจระเข้มา 1 ใบ จากนั้นก็ปอกเปลือกออกให้หมดจนกระทั่งเหลือแต่วุ้นใสๆ แล้วก็นำไปล้างด้วยน้ำสะอาดจนกว่าจะหมดยางเหลืองๆ เมื่อล้างสะอาดดีแล้ว ก็นำเอาใบว่านหางจระเข้มาหั่นให้เป็นบางๆ แล้วนำมาวางทาบบริเวณที่เป็นสิวหรือรอยสิว รวมไปถึงรอยแผลเป็นตามใบหน้า
สำหรับการใช้ว่านหางจระเข้รักษารอยดำจากสิวนั้นสามารถทำได้ทุกวัน เช้า-เย็น แนะนำว่าควรทำต่อเนื่องจากนั้นรอยดำจากสิวจะค่อยๆจางลงในที่สุด ที่สำคัญคือต้องไม่ใจร้อนค่ะ เนื่องจากวิธีรักษาแบบธรรมชาติต้องใช้เวลาพอสมควรค่ะ
3. หอมแดง อะไรนะ! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหอมแดงก็สามารถรักษาสิวได้ หลายคนอาจไม่เคยทราบว่าหอมแดงก็มีสารในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว ถ้ากำลังมองหาวิธีแก้รอยสิวหอมแดงในครัวช่วยคุณได้ค่ะ
สำหรับวิธีการใช้หอมแดงรักษารอยดำจากสิวก็ง่ายแสนง่ายค่ะ อันดับแรกก็นำเอาหอมแดงมาปลอกเปลือกล้างน้ำให้สะอาด จากนัน้ก็นำมาหั่นเป็นแว่นๆหั่นให้บางหน่อยก็ดีค่ะ เมือ่ได้แล้วก็แล้วนำมาวางบริเวณที่เป็นรอยสิว หรือจุดด่างดำ แนะนำว่าควรทำให้เป็นประจำทุกวันจนกว่ารอยสิวจะจางลง และหายไปจากใบหน้าสวยๆของคุณ อย่าท้อก่อนรอยสิวจะหายนะคะ!
4. มะละกอ ผลไม้สุดโปรดที่ใครๆอาจไม่เคยรู้ว่ารักษารอยสิวได้ดีนักแล เนื่องจากมะละกอมีเอนไซม์ปาเปนและโคโมปาเปน ที่ช่วยในการย่อยโปรตีนจึงทำให้ช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง และยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการสมานแผลของผิวหนัง ทำให้รอยแผลจากสิว รวมไปถึงรอยด่างดำจากการเป็นสิวค่อยๆจางลงได้
สำหรับวิธีใช้มะละกอรักษารอยสิวนั้นก็สามารถทำได้เพียงแค่เลือกมะละกอลูกสุกๆมาสักหนึ่งลูก จากนั้นก็นำไปปอกเปลือกออกให้หมด แล้วก็นำไปล้างให้สะอาด ต่อมาก็นำมาหั่นให้เป็นชิ้นเล็กๆเพื่อให้ง่ายต่อการบดหรืออาจนำไปปั่นให้ละเอียดก็ได้ เมื่อได้เนื้อมะละกอที่ละเอียดดีแล้ว ก็นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที ค่อยล้างออกให้สะอาด ทำให้ได้ทุกวันจนกว่ารอยดำจะค่อยๆจางลงค่ะ
5. น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น แทบไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่านอกจากจะช่วยบำรุงสุขภาพแล้วนั้น น้ำมันมะพร้าวยังช่วยรักษารอยสิว หรือรอยด่างดำจากสิวได้ด้วยนะคะ เนื่องจากในน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นนั้นมีกรดลอริกที่มีฤทธิ์ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ดี และยังมีวิตามินอีที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ป้องกันรอยหมองคล้ำ รวมไปถึงการช่วยลดรอยดำจากสิวให้ค่อยๆจางลงอย่างเห็นได้ชัดอีกด้วยค่ะ
สำหรับวิธีใช้น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นรักษารอยดำจากสิวนั้น ก็สามารถทำได้ง่ายๆค่ะ เพียงแต่ล้างหน้าให้สะอาด จากนั้นก็ใช้สำลีชุบน้ำอุ่นแล้วบีบน้ำออก หยดน้ำมันมะพร้าว 2-3 หยดลงบนสำลีแล้วนำมาทาตามรอยสิวหรือทาให้ทั่วใบหน้าไปเลย จากนั้นก็สามารถทิ้งไว้ได้เลยโดยไม่ต้องล้างออก ไม่นานรอยด่างดำจากสิวจะค่อยๆจางลงอย่างเห็นได้ชัดเลยค่ะ
สิว ปัญหากวนใจสาวๆที่อยากมีใบหน้าขาวสวยใสไร้ริ้วรอยด่างดำ แต่คงหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่ๆถ้าหากสิวยังผุดขึ้นมาตามใบหน้าอยู่อย่างนี้ สำหรับคนที่ยั...
เกลือ นำเกลือวางบนแผ่นไม้ จากนั้นแล้วนำเตารีดไปรีดบนเกลือจนคราบไอน้ำที่ติดตาม รู้ไอน้ำมันหลุดออกจนหมด
เทียนไข ใช้เทียนไขมาถูกับเตารีดร้อนๆ มันจะละลายไปแล้วเช็ดออก ทำให้เตารีด รีดได้เรียบอีกด้วย
ใบตอง นำเตารีดไปรีดบนใบตอง ถูไปมาจนใบตองเกือบไหม้หลุดไป ทำให้เตารีดลื่นขึ้นด้วย
ยาสีฟัน ใช้ยาสีฟันทาลงบนเตารีด พอร้อนจนยาสีฟันใหม้ก็รอให้เย็น แล้วใช้ผ้าเปียกเช็ดออก
เกลือ นำเกลือวางบนแผ่นไม้ จากนั้นแล้วนำเตารีดไปรีดบนเกลือจนคราบไอน้ำที่ติดตาม รู้ไอน้ำมันหลุดออกจนหมด เทียนไข ใช้เทียนไขมาถูกับเตารีดร้อนๆ ม...
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขเผยไม่กินอาหารเช้าอาจเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน พบพฤติกรรมการกินอาหารเช้าของกลุ่มวัยทำงาน ร้อยละ 59.55 กินอาหารเช้าเป็นประจำ ร้อยละ 24.09 กินอาหารเช้าเกือบทุกวัน เด็กวัยเรียนไม่กินอาหารเช้า ร้อยละ 30 โดยเฉพาะเด็กนักเรียนหญิงไม่กินอาหารเช้าถึงร้อยละ 52
ผลสำรวจพฤติกรรมการกินอาหารเช้าพบว่า ร้อยละ 88.2 เป็นกลุ่มวัยทำงานอายุระหว่าง 20 -60 ปี ซึ่งกินอาหารเช้าเป็นประจำ ร้อยละ 59.55 กินอาหารเช้าเกือบทุกวัน ร้อยละ 24.09 เมื่อเปรียบเทียบระหว่างเพศชายและเพศหญิง พบว่าเพศชายกินอาหารเช้าทุกวันมากกว่าเพศหญิง คือ ร้อยละ 64 ในขณะที่เพศหญิงร้อยละ 57.24 และส่วนใหญ่กินข้าวเป็นอาหารเช้าเป็นประจำร้อยละ 50.45 และดื่มชา กาแฟ แทนข้าว ร้อยละ 25 รองลงมา คือนมจืดพร่องมันเนย ร้อยละ 13.64 สาเหตุส่วนหนึ่งที่กลุ่มวัยทำงานไม่ได้รับประทานอาหารเช้า คือการดำเนินชีวิตที่เร่งรีบส่งผลให้การเริ่มต้นระบบเผาผลาญของร่างกายช้าลง ร่างกายจึงรู้สึกหิวตลอดเวลา และกินอาหารในมื้อถัดไปมากยิ่งขึ้นกินจุบกินจิบ และมักเลือกเมนูอาหารที่ให้พลังงานสูงทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
การอดอาหารเช้ายังเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน เนื่องจากคนที่รับประทานอาหารเช้าเป็นประจำ จะลดภาวะผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลินหรือภาวะดื้อของอินซูลินซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานได้ถึง ร้อยละ 35 -50 และผลการวิจัยจากสมาคมแพทย์โรคหัวใจในอเมริกายังพบว่าการรับประทานอาหารเช้าอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดสมองและโรคหัวใจอีกด้วย
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขเผยไม่กินอาหารเช้าอาจเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน พบพฤติกรรมการกินอาหารเช้าของกลุ่มวัยทำงาน ร้อยละ 59.55 กินอาหารเช้าเป็...
ยาวิเศษ...หาได้ง่ายๆจากในห้องครัว บ่อยครั้งที่เรามักเกิดอุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆในบ้าน แล้วจู่ๆยาสามัญประจำบ้านที่จำเป็นต้องใช้ก็หมดไปเสียอย่างงั้น วันนี้เราขอแนะนำยาดีประจำบ้านที่คุณสามารถหาได้ง่ายๆจากในห้องครัวของคุณเองค่ะ
1. หัวหอม หรือ หัวหอมใหญ่ ผักที่มีวิตามินซีสูงรวมไปถึงยังมีสารอื่นๆ เช่น สารเคอร์ซีทิน ที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย และช่วยป้องกันโรคต่างๆได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้แล้ว หัวหอมยังสามารถนำมาใช้ในการบรรเทาอาการปวดจากบริเวณที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย หรือจะนำหัวหอมมาตำให้ละเอียด ก่อนจะนำไปพอกบริเวณที่มีอาการบวมช้ำ หรือแก้ฝีก็ได้ อีกทั้งน้ำคั้นจากหัวหอมยังช่วยรักษาผิวหนังที่ถูกน้ำร้อนลวกได้อีกด้วยค่ะ
2. ชาเขียว อีกหนึ่งเครื่องดื่มสุดมหัศจรรย์ ที่มีสรรพคุณในการรักษา โรคภัยต่างๆมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลแล้ว โดยชาเขียวถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคปวดศีรษะ โรคซึมเศร้า แก้เมาเหล้า แก้หวัด แก้ร้อนใน ช่วยขับเหงื่อ ขับสารพิษตกค้าง ช่วยป้องกันตับจากพิษและโรคอื่นๆ นอกจากนี้แล้วชาเขียวยังช่วยในการห้ามเลือดหรือทำให้เลือดไหลช้าลง อีกทั้งยังสามารถนำมาพอกรักษาแผลอักเสบ แผลพุพอง ไฟไหม้ ฝีหนอง รวมไปถึงการช่วยบรรเทาอาการผดผื่นคันได้อีกด้วย
3. น้ำผึ้ง นอกจากจะมีประโยชน์ต่อผิวหน้าและผิวกายแล้วนั้น น้ำผึ้งยังสามารถนำมาใช้รักษาอาการเมาค้างได้อีกด้วย เนื่องจากน้ำผึ้งสามารถช่วยให้ร่างกายของคุณเผาผลาญแอลกอฮอล์ได้เร็วขึ้น หากมีอาการไอก็สามารถบรรเทาได้ด้วยการฝานมะนาวบางๆแล้วบีบลงไปในคอ จากนั้นก็จิบน้ำผึ้งแท้หนึ่งช้อนโต๊ะอมไว้ แล้วค่อยๆกลืนลงไป เพียงเท่านี้อาการไอก็จะค่อยๆทุเลาลง หรือหากมีอาการท้องผูกก็สามารถนำกล้วยน้ำว้าสุกไปจิ้มน้ำผึ้งหรือมันต้มสุกแล้วทาน ก็จะช่วยลดอาการท้องผูกได้เช่นเดียวกันค่ะ
4. เกลือ อีกหนึ่งของดีที่ต้องมีทุกครัวเรือน หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่าเกลือมีสรรพคุณในการช่วยรักษาหรือบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้ดีนักแล หากคุณทานอาหารที่มีรสเผ็ดจัดจนแทบต้องวิ่งหาน้ำ ขอแนะนำว่าเกฃือช่วยคุณได้ค่ะ ส่วนวิธีการทำก็ง่ายแสนง่าย เพียงแค่อมเกลือไว้ปากแล้วทิ้งไว้สักครู่ จากนั้นอาการเผ็ดร้อนก็จะหายไปในที่สุด นอกจากนี้แล้วเกลือยังช่วยแก้ตะคริวได้ด้วยนะ เพียงแค่คุณใช้เกลือละลายน้ำดื่ม หรือดื่มน้ำเกลือก่อนลงว่ายน้ำก็จะช่วยป้องกันการเกิดตะคริวได้เช่นเดียวกันค่ะ
ยาวิเศษ ...หาได้ง่ายๆจากในห้องครัว บ่อยครั้งที่เรามักเกิดอุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆในบ้าน แล้วจู่ๆยาสามัญประจำบ้านที่จำเป็นต้องใช้ก็หมดไปเสียอย่าง...
ขอบตาดำ...อีกหนึ่งปัญหาใหญ่ของคนนอนดึก มีเวลาพักผ่อนน้อย โรคภูมิแพ้ การไหลเวียนของโลหิตไม่ดีพอ อายุมากขึ้น หรือไม่ก็เกิดจากกรรมพันธุ์ วันนี้เราขอ แนะนำวิธี
ดูแลสุขภาพดวงตาให้ไกลจากอาการขอบตาดำคล้ำ หรือ รอยตาหมองคล้ำใต้ตา กับเคล็ดลับการดูแลรักษาดวงตาง่ายๆที่คุณก็สามารถทำได้เองที่บ้าน ฉะนั้นสาวๆทั้งหลายอย่าปล่อยให้หมีแพนด้าเรียกพี่เด็ดขาด!
แนะนำ 5 วิธีแก้ปัญหาขอบตาดำคล้ำ
1. ช้อนแช่เย็น อ๊ะ!...นี่คือเคล็ดลับจากคนก้นครัวเลยนะจ๊ะ บ่อยครั้งที่สิ่งของใกล้ตัว หรือแม้แต่ในครัวของเรานั้น จะมาช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องความสวยความงามของ เราได้อย่างไม่คาดคิดมาก่อน เพราะวิธีทำก็ง่ายแสนง่าย เพียงแค่คุณนำช้อนไปแช่ในช่องแช่แข็งของตู้เย็นที่บ้านก่อนจะเข้านอนในตอนกลางคืน หลังจากนั้นตื่นขึ้น มาตอนเช้าก็นำเอาช้อนที่แช่แข็งไว้ออกมาวางทาบลงบริเวณรอบๆดวงตาที่บวมคล้ำ จากนั้นก็รอจนกว่าช้อนจะอุ่นหรือหายเย็น แล้วก็เปลี่ยนคันใหม่ ทำต่อไปสักพักจน รู้สึกว่าตาหายบวมก็พอแล้วค่ะ
2. ถุงชาใช้แล้ว ขอบอกเลยว่านี่คือวิธีที่ได้รับความนิยมมากๆเลยนะ หลายคนอาจไม่เคยทราบมาก่อนว่าถุงชาที่เหลือจากการชงชานั้น แท้จริงแล้วมีประโยชน์มากๆ เลยล่ะ โดยเฉพาะสาวๆที่กำลังประสบปัญหาตาเป็นหมีแพนด้านั้น หากลองนำเอาถุงชาที่กำลังอุ่นๆ (ไม่ต้องร้อนนะ!) มาประคบลงรอบๆดวงตาที่กำลังบวม สารแทนนิ นที่พบในชาจะช่วยลดอาการบวมได้ดีนักแลจ้า!
3. แตงกวาหั่นบางๆ นี่อาจเป็นวิธีแรกๆที่สาวๆนึกถึง แต่เชื่อได้เลยว่ามันช่างได้ผลสุดๆเลยล่ะ เพียงแค่คุณนำเอาแตงกวาสดนำมาล้างให้สะอาด จากนั้นก็หามีดมาหั่น ให้เป็นแผ่นบางๆ จากนั้นก็นำมาวางบริเวณรอบดวงตา แล้วทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แนะนำว่าควรทำก่อนนอนทุกคืน เพียงเท่านี้รอยหมองคล้ำใต้ตาก็จะหายไปในบัดดลเลยค่ะ
4. มะเขือเทศ เชื่อสิ...นี่คือเคล็ดลับที่เราอยากบอกคุณมากๆเลยค่ะ สำหรับคนที่มีปัญหารอยหมองคล้ำใต้ตา ขอบอกเลยว่ามะเขือเทศช่วยแก้ไขปัญหาให้คุณได้ค่ะ เนื่องจาก เนื่องจากว่ามะเขือเทศนั้นเป็นผักที่มีวิตามิน A และ C สูงมากๆ อีกทั้งยังมีสรรพคุณในการช่วยบำรุงดวงตาและผิวหนังใต้ดวงตาโดยที่ไม่ทำให้เกิดการระคาย แถมยังช่วยประชับถุงใต้ตาที่หย่อนคล้อยให้กับมาเต่งตึงเหมือนเดิมอีกด้วย
สำหรับวิธีทำก็ง่ายมากๆ เพียงแค่คุณเลือกมะเขือเทศที่กำลังสุกพอดี เน้นที่มีสีแดงๆ จากนั้นก็นำไปล้างให้สะอาด ก่อนที่จะนำมาหั่นครึ่งแล้วก็คว้านเอาเนื้อและเมล็ด ออกพอสมควร เนื่องจากเราจะใช้เฉพาะเนื้อส่วนที่ติดกับเปลือกเท่านั้น จากนั้นก็บดด้วยช้อนหรือมือจนกลายเป็นเนื้อเหลวๆพอประมาณ แล้วก็นำไปแช่เย็นไว้ประมาณ 10 นาที เมื่อได้แล้วก็นำเอาเนื้อมะเขือเทศมาทาให้บริเวณรอบๆใต้ดวงตาทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น เพียงเท่านี้ขอบตาก็จะค่อยๆหายคล้ำแล้วค่ะ
5. น้ำแข็งประคบ ขอบอกว่าวิธีนี้ต้นทุนต่ำมากๆเลยค่ะ เพียงแค่คุณนำเอาผ้าขาวบางสะอาดๆมาห่อน้ำแข็ง แล้วก็ทุบน้ำแข็งให้แตกๆแต่อย่าให้มันเละมาก จากนั้นก็นำ เอาถุงผ้าห่อน้ำแข็งมาประคบบริเวณรอบๆดวงตา แล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 - 15 นาที ความเย็นจากน้ำแข็งจะช่วยลดความเมื่อยล้า รอยหมองคล้ำ รวมไปถึงถุงน้ำใต้ตาของคุณได้อย่างง่ายดาย
5 วิธีแก้ ขอบตาดำ คล้ำ...ถ้าไม่อยากเป็นหมีแพนด้ารีบดูด่วน!! ขอบตาดำ ...อีกหนึ่งปัญหาใหญ่ของคนนอนดึก มีเวลาพักผ่อนน้อย โรคภูมิแพ้ การไหลเวียน...