อ้วนแค่ไหนก็ผอมได้ มาอ่านแรงบันดาลใจในการลดน้ำหนักของเธอกัน
แรงบันดาลใจในการลดน้ำหนัก พญ.รตวรรษ์ สถาปิตานนท์
แต่ไหนแต่ไร ตนเองเป็นคนที่รักการกินมาตลอด เรียกว่า กินเก่ง กินจุ กินเรื่อยๆ ได้สบายๆ ทำให้มีรูปร่างอ้วน อย่างไรก็ตามในชีวิตนี้มักจะผอมๆ อ้วนๆ อยู่เป็นระยะๆ เนื่องจากแม่ของฉัน อยากให้ลูกมีสุขภาพดี ไม่อ้วนมาก สิ่งที่แม่ทำบ่อย ๆ คือ ขอให้ฉันลดน้ำหนักลง
โดยมักจะวางของรางวัลล่อใจเสมอ เช่น เครื่องเล่นเกม, โทรศัพท์มือถือ, เครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อเป็นรางวัลในการลดน้ำหนัก ที่ผ่านมาที่ฉันเคยลดได้นั้น มักเป็น รอบๆ ครั้งละ 1-2 เดือน และใช้วิธีลดแบบหักโหมมากๆ เพื่อให้ได้ของรางวัลว่าโดยเร็ว
กล่าวคือ จากที่บอกว่า กินเก่งมาก ๆ นั้น เป็นกินน้อยมาก เรียกว่า เหลือแค่ นม หรือ น้ำผลไม้ มื้อละ 1-2 กล่องเท่านั้น และออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย ผลจากการลดน้ำหนักแบบนี้คือ ฉันผอมลงได้อย่างรวดเร็วจริง แต่ก็กลับอ้วนขึ้นมาใหม่ได้ในเวลาไม่นาน
ฉันได้สัมผัสกับคำว่า "โยโย่ เอฟเฟ็ค" ชัดเจน นั่นคือ ตอนก่อนเรียนจบแพทย์ ฉันได้พยายามลดน้ำหนัก เรียกได้ว่า หักโหมมาก กินนม กับ น้ำผลไม้ มื้อละ 2 กล่อง และรับยาจากคลินิคเสริมความงามแห่งหนึ่ง ครั้งนี้ ต่างไป คือ ไม่ได้ออกกำลังกาย สภาพตอนนั้น ผอมจริง แต่ค่อนข้างโทรม อาจารย์เตือนฉันว่า มันจะ "โยโย่" นะ แล้วมันก็เป็นจริง ก่อนจบ น้ำหนักฉันน่าจะอยู่ที่ประมาณ 60 กิโล แต่หลังจบมา งานปีแรกหนักมาก ฉันกินเยอะ เพราะความเครียด
แล้วมันก็ค่อย ๆ ก่อเป็นนิสัย "กินคลายเครียด" มาเรื่อยๆ จนกระทั่ง อ้วนขึ้นๆ ก่อนฉันจะไปเรียนเฉพาะทางนั้น ฉันว่าหนักถึง 90 กิโลกรัม ระหว่างเรียนแพทย์เฉพาะทาง 3 ปี ฉันก็ยังอ้วนขึ้นเรื่อย ๆ เพราะ กินคลายเครียดตลอด เรียกว่า ชุดที่เคยใส่ได้ตอนปีแรกที่เรียนนั้น ปีสุดท้าย ใส่แทบไม่ได้เลย เมื่อจบมาทำงาน ก็ต้องเดือดร้อนกับการหาเสื้อผ้าใส่ เพราะมันใส่ไม่ได้ แต่ถึงกระนั้น ฉันก็แทบไม่ใส่ใจตัวเอง ฉันกลัวความลำบากในขณะที่พยายามลดน้ำหนักด้วย และคิดว่าจะอ้วนยังไง ก็ไม่มีใครสนใจอยู่แล้ว แต่ว่า ฉันคิดผิด
ความอ้วน เป็นอุปสรรคกับฉันมาก เริ่มตั้งแต่ ความไม่มั่นใจหลายอย่าง ที่ฉันต้องประสบ จะยกตัวอย่างให้ฟังก็คือ คำกล่าวขานลับหลัง เพราะชื่อของฉันนั้นเรียกยาก มักจะมีคนเรียกผิดบ่อยๆ ในความรู้สึกชาวบ้าน การบรรยายรูปร่างลักษณะ คือสิ่งง่ายสุด นั่นคือ "หมอคนอ้วน" จะเข้าใจง่ายกว่า นั่นคือประเด็นหนึ่ง ประเด็นอื่นๆคือ เวลาฉันตรวจผู้ป่วย ฉันไม่สามารถ แนะนำการลดน้ำหนัก ให้กับผู้ป่วยได้ เพราะเหตุผลค้ำคอประเด็นเดียวเลยคือ "ฉันจะพูดไปได้ยังไง ในเมื่อ ตัวฉันเอง อ้วนขนาดนั้น ทำไมฉันถึงไม่ทำ"
จุดแตกหัก ในการเริ่มต้นลดน้ำหนักของฉันคือ วันหนึ่งขณะที่ฉันทำงานในฐานะอายุรแพทย์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง มีผู้ป่วยอายุน้อยคนหนึ่ง ถูกส่งมาเพื่อขอคำปรึกษาจากอายุรแพทย์ เพื่อแนะนำการคุมน้ำหนักเพราะอ้วนและเป็นโรคความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยนั่งรอฉันอยู่นาน เมื่อเข้าพบ ฉันอ่านเหตุผลที่วันนี้ผู้ป่วยมาพบฉันเนื่องด้วยแพทย์อีกท่านต้องการปรึกษาอายุรแพทย์เพื่อแน่นำดูแลรักษาเรื่องการลดน้ำหนักตัว
แต่ว่า ฉันจะพูดได้อย่างไร? เพราะผู้ป่วย น้ำหนักน้อยกว่าฉันเสียอีก!! ขณะนั้นฉันได้แต่เฉไฉไปว่า หมอจะให้ยาลดความดันไปนะ แล้วจบ ได้ยินเสียงพยาบาลและญาติที่หน้าห้องตรวจพูดมาแว่วๆว่า "หมอไม่พูดอะไรเลยเหรอ? อุตส่าห์รอตั้งนาน ให้ยาลดความดันมาแค่นี้เหรอ" ฉันหน้าชา รู้สึกเสียหน้ามาก รู้สึกเสียความรู้สึกและไร้ค่าที่ไม่อาจช่วยเหลือผู้ป่วยได้ ถึงกระนั้นพอถามตัวเองว่า ตอนนี้คิดจะลดไหม? ก็คิดนะ แต่ก็ยังผลัดมาเรื่อยๆ
จนมาเมื่อฉันรู้สึกสุขภาพจะเริ่มแย่ลง มีปัญหาการนอนกรน ตอนนั้นฉันนอนหงายไม่ได้เลย เพราะหายใจไม่ออก และผลการตรวจร่างกายก็บ่งว่าฉันเสี่ยงมากต่อการเป็นโรคเบาหวาน เอาล่ะสิหมอจะกลายมาเป็นคนไข้เองเสียแล้ว
เมื่อมองตัวเองในกระจกหลาย ๆ ครั้ง ก็ตัดสินใจว่า "ฉันผลัดมาหลายทีแล้วนะ มันควรจะทำเสียที ถ้าผลัด มันก็เป็นข้ออ้างไปเรื่อยๆ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ ไม่มีคำว่าวันนี้ซะที ในจะไม่มีวันสิ้นสุด ไม่มีวันได้เริ่มซะที" เมื่อคิดได้แบบนั้น ฉันจึงตัดสินใจลดน้ำหนักทันที ในวันรุ่งขึ้นและครั้งนี้ฉันทำโดยที่ไม่มีสิ่งล่อใจใด ๆ จากแม่ของฉัน
ฉันมาพิจารณาเรื่องการกินของตัวเองก่อน ฉันกินข้าวมาก แต่ไม่ค่อยกินมื้อเช้า ไปหนักกลางวัน และเย็น และยังมีน้ำหวาน กาแฟสด ขนม ฉันต้องเลิกพวกนี้ ฉันเริ่มปรับการกินตัวเอง มากินเป็นอาหารไม่เค็มไม่มัน เน้นโปรตีน และผัก พร้อมทั้ง ควบคุมพลังงานหรือแคลอรี่ในอาหาร
ฉันตั้งเป้า ไว้ที่ 1500 กิโลแคลอรี่ต่อวัน การรับประทานอาหาร เน้น กินเยอะมื้อเช้า กลางวันเบาลง เย็นกินน้อยที่สุดและเลื่อนเวลากินให้ไวขึ้น ไม่ให้เกิน 5 โมงเย็น หลังจากนั้น ไม่กินอะไรอีกนอกจากน้ำเปล่า ๆ
ฉันเริ่มที่จะงดขนม ลดข้าว ผลไม้ น้ำหวาน แต่กาแฟ ฉันคิดว่า ตัวเองคงจะติด จึงต้องปรับปรุงมาเป็นกาแฟดำ ชงเอง ใส่สารแทนความหวานน้ำตาลหรือน้ำตาลเทียม เช่นซูคาโลส ไม่ใส่ครีมเทียมเลย แทน วันละ 1 แก้ว ตอนเช้า ฉันจริงจังมาก จนทุกคนแปลกใจ เพราะปกติ จะกินทุกอย่าง
ในระหว่างนี้ ฉันเตรียมใจมาแล้ว ว่าจะต้องเจอกับถ้อยคำที่ทำให้หมดกำลังใจ อย่างเช่น จะไหวเหรอ? จะทนได้ซักกี่วัน? เดี๋ยวก็คงอ้วนแบบเดิมดีไม่ดีมากว่าเดิมแน่ ๆ แต่ฉันกลับพบว่าทุกคนรอบ ๆ ตัวฉันให้กำลังใจฉัน ทำให้รู้สึกดีและมีแรงในการจะปรับเปลี่ยนตนเองต่อไป
เรื่องออกกำลังกายนั้น ฉันมีเครื่องออกกำลังกายเก่าๆ ลักษณะแกว่งขาไปมาแบบในสวนสาธารณะ อยู่เครื่องหนึ่ง ที่แม่ซื้อมาใช้แต่ก่อน แล้วตอนนี้มันเริ่มจะเสีย คือ ปรับระดับความหนักไม่ได้แล้ว ฉันขอมาใช้ กะว่าจะออกกำลังกาย แต่ด้วยความที่ผลัดวันประกันพรุ่งนั้นแหละ มันจึงเป็นที่ตากผ้ามาตลอด
ฉันจึงเอามาใช้ในตอนนี้ เพราะเครื่องออกกำลังกายนั้น น่าจะลดแรงกระแทกกับเข่าฉันลงได้ โดย ช่วงแรกๆ ฉันออกแค่ ไม่กี่นาที ก็เหนื่อยมากแล้ว จึงค่อยๆ เพิ่มเวลาขึ้น ในวันถัดไป ทีละ 10 นาที จนออกได้ อย่างน้อย 1 ชม. ออกสัปดาห์ละ 5 วัน เว้น 2 วัน
เดือนแรกแห่งความตั้งใจของฉัน ฉันลดน้ำหนักลงได้ ประมาณ 8 กิโล หลังจากนั้น ก็เริ่มลงช้าๆ ฉันก็ค่อยๆเพิ่มการออกกำลังกาย โดยการยกน้ำหนัก เพิ่มเติมมา และ ใจเย็นๆ ค่อยๆลดไปเรื่อยๆ แม่ของฉัน สนับสนุนมาก ถึงขั้นลงทุนซื้อเครื่องออกกำลังกายใหม่ให้
ปัจจุบัน ฉันลดน้ำหนัก จากตั้งต้น 105 กิโล เหลือ 58 กิโล (รวม 47 กิโล) ใช้เวลา 8 เดือน ลดสัดส่วนจากตอนแรก (ไม่ได้วัดไว้ชัดเจน) 50-42-52 เหลือ 35-29-37
แต่ฉันคิดว่า ปัจจัยสำคัญมากๆ ในการที่ฉันลดน้ำหนักได้ มันอยู่ที่ความตั้งใจ มีแรงบันดาลใจ ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง ความห่วงใยสุขภาพตัวเอง กำลังใจจากคนรอบข้าง และที่สำคัญ คือความอดทนค่ะ ถ้าหากขาดปัจจัยเหล่านี้แล้วนั้น ไม่ว่าจะพยายามลองใช้วิธีใด ก็จะไม่ประสบความสำเร็จหากแพ้ใจตัวเอง ลดหรือเพิ่มอยู่ที่ใจจริง ๆ ค่ะ
บทความจาก...... raipoong.com / เครือข่ายคนไทยไร้พุง
Advertisements
Advertisements
0 ความคิดเห็น