3 ท่าลดพุงแบบง่าย ๆ แต่เห็นผลชัดเจนมาก!! Photo By fit-poland.tumblr.com ขอแนะนำ วิธีลดพุง แบบง่าย ๆ โดยไม่ต้องออกกำลังกายหนัก แค่ทำตาม 3 ท่า...
การกินผัก-ผลไม้ เป็นประจำ ย่อมช่วยให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงอย่างแน่นอน วันนี้เราขอแนะนำ 5 เคล็ดลับกินผักให้ปลอดภัยจากสารพิษมากที่สุด ดังต่อไปนี้
1. กินผักอายุสั้นดีที่สุด
2. กินผักตามฤดูกาล
3. กินผักใบดีกว่าผักหัว
4. กินผักให้หลากหลาย
5. กินผักพื้นบ้านสิดี
บทความจาก...... thaihealthcenter.org
5 เคล็ดลับกินผักให้ปลอดภัยจากสารพิษ Photo By venusbuzz.com การกินผัก-ผลไม้ เป็นประจำ ย่อมช่วยให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงอย่างแน่นอน วันนี้เ...
เว็บไซต์ healthylivinghouse.com เผยข้อมูลว่า มีหลายความเห็นเกี่ยวกับปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน โดยนักวิทยาศาสตร์อ้างว่า ควรจะดื่มน้ำวันละ 8-9 แก้วต่อวัน แต่หากใน 1 วันร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะเกิด 6 อาการดังต่อไปนี้
1. สุขภาพแย่ลง การดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกายจะช่วยในการป้องกันการเกิดนิ่วในไต, โรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหารและระบบทางเดินปัสสาวะ แล้วยังช่วยป้องกันคุณจากโรคหัวใจได้ด้วย
2. การเผาผลาญช้าลง การเผาผลาญในร่างกายของมนุษย์นั้น ขึ้นอยู่กับการดื่มน้ำ หากคุณดื่มน้ำมากขึ้นร่างกายก็จะเกิดการเผาผลาญที่เร็วขึ้นตามไปด้วย
3. ต้องใช้ความพยายามมากขึ้นขณะทำงาน การที่สมองนั้นขาดน้ำจะทำให้คุณนั้นทำงานได้มีประสิทธิภาพที่น้อยลง ดังนั้นคุณต้องใช้เวลามากขึ้นและและใช้ความพยายามในการทำงานให้เสร็จมากขึ้น ไปอีก
4. เกิดอาการอยากอาหารเพิ่มขึ้น คนที่ดื่มน้ำในปริมาณ 2 แก้วก่อนมื้ออาหาร จะมีปริมาณแคลอรี่น้อยลง 75-90 ในเวลา 3 เดือนน้ำหนักจะลดลง 2.5 กิโลกรัม
5. ผิวเหี่ยวย่นและดูแก่กว่าวัย น้ำจะเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ลดเลือนริ้วรอย เพิ่มความสดใสให้กับผิวของคุณได้
6. มีความรู้สึกหดหู่และเศร้า พวกเขาจะรู้สึกได้ถึงความอ่อนแอและสับสนหรือความโกรธ ซึ่งจะแตกต่างจากคนที่มักจะดื่มน้ำเป็นประจำ
บทความจาก...... krobkruakao
เว็บไซต์ healthylivinghouse.com เผยข้อมูลว่า มีหลายความเห็นเกี่ยวกับปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน โดยนักวิทยาศาสตร์อ้างว่า ควรจะ ดื่ม...
อยากหุ่นดี หุ่นสวยกระชับ ไม่ยากเลยสักนิด โดยเฉพาะคนที่ไม่อยากเสียเงินซื้ออุปกรณ์สำหรับออกกำลังกายมากมาย และไม่อยากเริ่มต้นออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงมากนัก...จะมีอะไรตอบโจทย์คุณมากไปกว่า ‘การเดิน’ ล่ะคะ? มาเตรียมตัวก้าวเดินสู่สุขภาพฟิตๆไปด้วยกันกับ SOOK ได้เลยค่า
เตรียมตัวให้พร้อมก่อนเดิน
1. วอร์มอัพ
2. เสื้อผ้า
3. รองเท้า
เริ่มเดินกันเลย
1. เริ่มต้นเดินช้าๆ ค่อยๆเดิน ประมาณ 3 - 5 นาที
2. เมื่อร่างกายชินแล้ว ให้เพิ่มความเร็ว จนรู้สึกได้ว่าเหนื่อย 25 - 30 นาที
3. ค่อยๆชะลอความเร็วลง ก่อนเดินช้าๆ 3 - 5 นาที ก่อนหยุดเดิน
อ้างอิงบทความ...thaihealthcenter.org
หุ่นฟิตง่ายๆ ไม่วุ่นวาย แค่เลือกเดินให้เป็น! อยากหุ่นดี หุ่นสวยกระชับ ไม่ยากเลยสักนิด โดยเฉพาะคนที่ไม่อยากเสียเงินซื้ออุปกรณ์สำหรับออกกำลังก...
ใช้เครื่องสำอางหรือสกินแคร์ตั้งแต่ผิวยังไม่แตกวัยสาวอันตรายไหมคะ ข้อนี้คุณแม่ยังสาวผิวขาวปิ๊งที่ปกติใช้สูตรบำรุงผิวแบบโบราณ ตั้งโจทย์มาถามทีมงานด้วยความห่วงใยลูกสาว WH จึงไม่รอช้า ไปค้นคว้าหาข้อมูลแบบจัดเต็มมาให้คุณผู้อ่านที่รักคลายความกังวลใจในทันที
>> เครื่องสำอางของวัยสาวสิ่งที่วัยทีนเอจ หรือสาววัยไหนก็ตามต้องการมากที่สุดก็คือ แอนตี้เอจจิ้ง โปรดักต์หรือผลิตภัณฑ์ต่อต้านริ้วรอยทุกชนิด ซึ่งฮอตฮิตติดกระแสกันมากในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นซันบล็อก ซันสกรีนป้องกันผิวถูกทำลาย มอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิวชุ่มชื่น แอนตี้ริงเคิล ยับยั้งรอยเหี่ยวย่น และที่นิยมใช้กันสุด ๆ ระยะนี้คือ ไวเทนเนอร์ หรือสารช่วยให้ผิวขาวที่ผสมอยู่ในครีม โลชั่น เดย์ครีม ไนต์ครีม เอสเซนส์ หรือแม้แต่แชมพู ครีมนวดผม แม้กระทั่งที่ทารักแร้ (โอ้ แม่เจ้า) ต่างกันแค่ผิวหน้า สาวรุ่นส่วนใหญ่มักมีสิวมาสิงสถิต โดยไม่ได้ขอยื่นใบอนุญาต ดังนั้นจึงต้องมีผลิตภัณฑ์รักษาสิวเป็นกองขับไล่อีกแรง
เพราะเหตุที่วัยรุ่นเป็นวัยที่มีน้ำหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติล้นเหลือกว่าวัยใด บางคนฟังแล้วอาจยกมือค้านว่าใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันริ้วรอยตั้งแต่อายุสิบกว่า ไม่เกินวัยหรือเกินความจำเป็นไปหน่อยหรือ อันนี้ขอเคลียร์ให้กระจ่างใจว่า การที่คนเราจะใส่ใจป้องกันผิวร่วงโรยตั้งแต่วัยเริ่มผลิบาน มันผิดตรงไหน เพราะใช้แล้วก็ไม่เป็นอันตรายต่อผิวสักหน่อย
ถ้าจะกลัว ควรกลัวส่วนผสมที่ไม่ได้มาตรฐานมากกว่า ผลิตภัณฑ์ประเภทไม่ผ่านขั้นตอนทดสอบการระคายเคืองผิวตามมาตรฐานสากลมาก่อนนี่สยองแน่ เช่น ปล่อยให้สารปนเปื้อนอย่างเชื้อรา ยาฆ่าแมลง เมื่อเอามาทาจึงเกิดอาการแพ้ เป็นผื่นตามใบหน้าและเนื้อตัว
>> อยากสวยตำรับธรรมชาติต้องรู้จริงสูตรโบราณสารพัดสารพัน เช่น น้ำมันมะพร้าวชโลมผม ขมิ้นหรือน้ำนมบำรุงผิวนุ่มต่าง ๆ เหล่านี้ถือเป็นภูมิปัญญาของบรรพชนน่าเชื่อถือว่าใช้ได้ผล เพราะผ่านการทดลองกับคนจริง ๆ มาแล้วนับไม่ถ้วน พอใช้ได้ผลดี คนโบราณก็เลยบอกต่อสืบทอดกันมา บางสูตรใช้มานานเป็นพันปีด้วยซ้ำ แต่มีข้อแม้แค่เราต้องศึกษาให้เข้าใจถ่องแท้เสียก่อนว่าภูมิปัญญาเก่า ๆ สูตรเขาทำอย่างไร ใช้อย่างไรจึงได้ผลดีจริง
เมื่อปลอดภัยแน่แล้ว ประการต่อไปที่ผองเราเหล่าคนรักความงามต้องคำนึงถึงคือใช้แล้วต้องได้ผลดีสม่ำเสมอ แต่เครื่องสำอางสมุนไพรที่กำลังบูมในบ้านเราขณะนี้ บางยี่ห้อไม่มีการควบคุมคุณภาพ และไม่ผ่านการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน เรียกว่าผู้ผลิตบางรายไม่มืออาชีพพอว่างั้นเหอะ จึงเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสาวตาดำ ๆ อย่างพวกเรา
ตรงข้ามกับสูตรบำรุงความงามต่าง ๆ ที่คนโบราณเขาทำใช้กันสด ๆ ครั้งต่อครั้ง ซึ่งให้ผลดีและมีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะสารที่มีประโยชน์ในพืชพันธุ์สดนั้นยังไม่สลายตัวเชื้อปนเปื้อนจึงน้อยมากเมื่อนำมาใช้จึงได้รับสารที่เป็นประโยชน์เต็มที่ แต่พอเราทำให้สมุนไพรตาย แล้วเอาน้ำหรือเนื้อเยื่อมาบรรจุแพ็กเกจเก็บไว้ น้ำที่อุดมด้วยวิตามินนี่แหละเป็นแหล่งอาหารชั้นยอดสำหรับแบคทีเรียตัวร้าย อธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้นคือ ของสดก็เหมือนร่างกายคนเราที่ยังไม่ตาย จึงยังคงคุณสมบัติในการป้องกันเชื้อ แต่พอไม่มีชีวิตแล้วร่างกายเราก็ขาดภูมิคุ้มกันโรค
อ้าว...งั้นคงต้องเซย์กู๊ดบายผลิตภัณฑ์ความงามจากธรรมชาติน่ะสิ ก็ถูกอยู่ แต่แค่เพียงส่วนเสี้ยวเท่านั้น เพราะถ้าผู้ผลิตพิถีพิถันต่อกระบวนการสกัดสารที่มีประโยชน์ในสมุนไพร โดยใช้เทคโนโลยีที่ดีเป็นตัวช่วยเครื่องสำอางก็ไม่มีเชื้อปนเปื้อน คงไว้ซึ่งคุณประโยชน์ล้วน ๆ และอยู่ได้ยาวนานโดยไม่เสื่อมสภาพหรือสลายตัว อย่างที่เรียกกันว่ามีความคงตัว ซึ่งหมายถึงคงสารสำคัญไว้ได้ประมาณ 90% ขึ้นไปจวบจนถึงวันหมดอายุ เห็นตัวอย่างได้จากผลิตภัณฑ์คุณภาพเยี่ยมไลน์ธรรมชาติแบรนด์ดังทั้งของนอกและของไทย
ฉะนั้นถ้าอยากสวยด้วยฉลาดด้วยเวลาซื้อผลิตภัณฑ์ เราในฐานะผู้บริโภคจึงต้องตรวจดูวันผลิต วันหมดอายุบนฉลากให้ดี ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ดีมันจะบอกแต่วันผลิตอย่างเดียว แต่ไม่บอกวันหมดอายุ (เอากะมันสิ) นอกจากนี้ยังต้องดูว่าบริษัทไหนผลิต รวมถึงต้องมีมาตรฐานในการผลิตที่ดีขั้นต่ำสุด
อย่างที่ศัพท์วิชาการเรียกว่า ‘Good Manufacturing Practice’ หรือ GMP อันเป็นมาตรฐานในระดับสากล เช่น ถ้าข้างกล่องกำหนดว่ามี GMP ก็หมายความว่าเขามีกรรมวิธีในการผลิตเป็นที่ยอมรับได้ในระดับนานาชาติ และผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพไม่ต่ำกว่า 90% เมื่อถึงวันหมดอายุ ห้ามน้อยกว่านี้
ประการสุดท้ายที่ต้องคำนึงถึงเมื่อเลือกเครื่องสำอางสมุนไพรก็คือ ผลิตภัณฑ์นั้นต้องมีประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ที่ดี แต่ปัญหาใหญ่ในบ้านเราก็มีอยู่ว่า เรายังมีหน่วยงานที่คอยตรวจสอบดูแลคุณภาพและปริมาณมหาศาลที่แข่งกันทำออกมาขาย นี่เองของไม่ดีจึงเล็ดลอดมาทำร้ายผิวพรรณเราได้
อ้างอิงบทความจาก... womenshealththailand.com นิตยสาร Women's Health ฉบับเดือนมิถุนายน 2013
หน้าสวย เด้ง ตำรับสมุนไพรไทยโบราณ อยากสวยตำรับธรรมชาติต้องรู้จริง! ใช้เครื่องสำอางหรือสกินแคร์ตั้งแต่ผิวยังไม่แตกวัยสาวอันตรายไหมคะ ข้อนี้คุ...
สิ่งแรกที่คุณควรทำหลังลืมตาตื่นในตอนเช้าคือ ดื่มน้ำอย่างน้อย 2 แก้ว เพื่อล้างพิษและระบายของเสียที่ตกค้างมาตั้งแต่เมื่อวาน แล้วเพิ่มสารอาหารให้ตัวเองอย่างเบาๆ ก่อนจัดเต็มกับโปรตีนก่อนเริ่มวันใหม่อย่าง ‘น้ำผลไม้คั้นสดกรีนมอนสเตอร์’ แก้วนี้ของเรา...
ที่คอยทำความสะอาดระบบต่างๆ ให้คุณรู้สึกตื่นตัว กระฉับกระเฉงทันที เพราะร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารในน้ำผักผลไม้แก้วนี้ไปใช้ได้อย่างเต็มที่
สูตรที่คัดสรรมานี้ ยังมีผลไม้ที่สามารถดีท็อกซ์ของเสียออกจากร่างกายได้อย่าง เช่น...
มะนาว ที่คอยรักษาสมดุลความเป็นกรดด่างของร่างกาย ช่วยกระตุ้นแบคทีเรียในลำไส้ให้สามารถ กำจัดสารพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อะโวคาโด มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลและละลายไขมันที่เกาะรอบตับให้สะอาด และแอปเปิลเขียวที่มี แอนตี้ออกซิแดนต์เพียบ รวมทั้งไฟเบอร์ที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
ส่วนผสมสำหรับ 1 แก้ว – ใบบัวบก 1 ถ้วยตวง/ น้ำมะนาวสด 2 ช้อนชา/ น้ำแอปเปิลเขียวแยกกาก ½ ลูก และหั่นเป็นลูกเต๋า ½ ลูก และอะโวคาโด ½ ลูก จากนั้น นำทุกอย่างลงโถแล้วปั่นให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน
Tips : เมื่อล้างเสร็จ นำผักผลไม้ไปแช่ตู้เย็นแล้วจึงนำมาปั่น น้ำที่ได้จะเย็นสดชื่นโดยไม่ต้องเติมน้ำแข็ง
ไฮไลต์ของแก้วนี้
ใบบัวบก เป็นพืชพื้นบ้านแต่สรรพคุณเริ่ดไม่แพ้ผักผลไม้เมืองนอก หากพูดในแง่ของการดีท็อกซ์ ใบบัวบกมีฤทธิ์ขับปัสสาวะและเป็นยาระบายอ่อนๆ
ซึ่งเหมาะอย่างยิ่ง สำหรับสาวฮอตที่มีอาการร้อนในเป็นประจำ กินใบบัวบกแล้วจะช่วยระบายความร้อนได้ดี แถมยังมียังมีสารกาบาที่ออกฤทธิ์บำรุงประสาท ช่วยลดอาการวิตกกังวลและ ความตึงเครียดได้
อะโวคาโด เป็นหนึ่งในซูเปอร์ฟู้ดที่มีประโยชน์รอบด้าน สามารถดีท็อกซ์สารพิษและไขมันในตับออกไป นอกจากนี้ยังมีผลการวิจัยอีกมากมายที่พิสูจน์แล้วว่า...
‘นอกจาก ขับพิษมันยังป้องกันไม่ให้สารพิษไปทำลายตับ’ มีไขมันไม่อิ่มตัวที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันได้ดี และตัวมันเองก็อุดมไปด้วยวิตามินอี โฟเลต และ วิตามินบี 5 อีกด้วย...ใช้เวลาเพียงน้อยนิด ก็ทำให้ร่างกายสะอาดสดชื่นรับวันใหม่ได้อย่างสดใสมีพลังแล้วค่ะ
อ้างอิงบทความจาก...เว็บไซต์ womenshealththailand.com Women’s Health, December 2013
สิ่งแรกที่คุณควรทำหลังลืมตาตื่นในตอนเช้าคือ ดื่มน้ำอย่างน้อย 2 แก้ว เพื่อล้างพิษและระบายของเสียที่ตกค้างมาตั้งแต่เมื่อวาน แล้วเพิ่มสารอาหารใ...
สำหรับคนที่ชอบทานช็อกโกแลต ความหวานและปริมาณน้ำตาลที่มีมากก็เสี่ยงกับภาวะโรคอ้วน หากใครอดใจไม่ไหว นักโภชนาการ มีคำแนะนำในการทานมาฝาก
ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล อาจารย์ประจำภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล แนะนำวิธีรับประทานช็อกโกแลตแบบ ไม่ต้องกังวลกับเรื่องความอ้วนไว้ 4 ข้อ คือ
1.กินเป็นของว่างหรือขนมหวาน ควรลดหรือหลีกเลี่ยงการกินไอศกรีม เค้ก คุกกี้ พร้อมกับช็อกโกแลต เพราะทำให้ได้รับพลังงานที่สูงเกินไป และทำให้อ้วนได้ ควรเลือกกินร่วมกับชาไม่ปรุงรส หรือน้ำสมุนไพรไม่ใส่น้ำตาล
2.กินช็อกโกแลตช้า ๆ ค่อย ๆ ให้ละลายในปาก แทนที่จะเคี้ยวและกลืนอย่างรวดเร็ว อุณหภูมิในร่างกายจะสูงกว่าจุดละลายของช็อกโกแลต เมื่อช็อกโกแลตเข้าในปาก จะละลายได้ช้า ๆ ช่วยให้ได้รับรสชาติของช็อกโกแลตมากกว่า และจะส่งผลต่อ ความรู้สึกมีผลให้สมองรับรู้ความสุข แม้ว่าจะกินในปริมาณน้อย แต่หากกินโดยการ เคี้ยว และกลืนเร็วร่างกายจะต้องการช็อกโกแลตในปริมาณมากเพื่อให้เกิดความสุข ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานสูงเกิน
3.เลือกซื้อช็อกโกแลตให้เป็น ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีเปอร์เซ็นต์ของโกโก้มากที่สุด มีน้ำตาลน้อย คือดาร์กช็อกโกแลต ดีกว่าช็อกโกแลตนม หรือไวท์ช็อกโกแลต
และข้อสุดท้ายกินช็อกโกแล็ตที่มีขนาดชิ้นเล็ก ๆ แทนที่จะเลือกชิ้นที่มีขนาดใหญ่ใน การกินแต่ละคำ การกินช็อกโกแลตดำขนาดเล็ก (5 กรัม) จะไม่ทำให้น้ำหนักขึ้นและ ช่วยให้ไม่รับประทานอาหารหรือขนมจุกจิก
บทความจาก...... krobkruakao.com
กินช็อกโกแลตอย่างไร ? ไม่ให้ อ้วนพุงพุ้ย !! สำหรับคนที่ชอบทานช็อกโกแลต ความหวานและปริมาณน้ำตาลที่มีมากก็เสี่ยงกับภาวะโรคอ้วน หากใครอดใจไม่ไห...
อุปกรณ์สำหรับทำแบบทดสอบ ได้แก่ กระดาษ 4 แผ่น ดินสอ 1 แท่ง และนาฬิกาจับเวลา 1 เรือน จากนั้นลงมือทดสอบกันเลยค่ะ
1. เขียนชื่อสี สัตว์ ผลไม้ และจังหวัด อย่างละ 10 ชื่อ ลงในกระดาษ (หัวข้อละ 1 แผ่น) ภายในเวลา 30 วินาที
2. นับจำนวนคำตอบที่ถูกต้องด้วยตนเอง หรือให้เพื่อนช่วยตรวจคำตอบ คิดคำตอบละ 1 คะแนน (คะแนนเต็ม 40 คะแนน)
ผลการทดสอบ
1 – 24 คะแนน เสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อม
25 – 40 คะแนน ไม่เป็นโรคสมองเสื่อม อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีแนวโน้มเป็นโรคสมองเสื่อม ควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจยืนยันผลต่อไป
เพราะขอย้ำว่า ต้องใส่ใจป้องกันโรคสมองเสื่อมทุกวิถีทางค่ะ
ที่มา...ขอขอบคุณ นิตยสารชีวจิต ปีที่ 14, ฉบับที่ 324, 1 เมษายน 2555, หน้า 20
แค่ 30 วินาที มาเช็คภาวะสมองเสื่อมกัน!! Photo By zeenews.india.com หากใครไม่มั่นใจว่า อาการหลงๆ ลืมๆ ที่ตนเองหรือคนรอบข้างเป็นอยู่เข้าข่ายโร...
หลายๆท่านมีปัญหาเกี่ยวกับน้ำหนักตัวที่มากเกินไป ใส่ชุดอะไรก็ไม่สวย จะซื้อยาลดน้ำหนักก็เสี่ยงกับอันตรายมากมาย วันนี้ แอดมิน มีสูตรลดน้ำหนักจากมะนาวน้ำผึ้งมาฝากกันค่ะ
1. เอาเกลือถูกับผิวมะนาว นาน 15 นาที แล้วล้างออก
2. หั่นมะนาวเป็นขิ้นบางๆ เอาเม็ดออกด้วย
3. บรรจุลงขวดโหล
4. เตรียมน้ำผึ้งเทลงขวดโหล
5. เทให้ท่วมมะนาว
6. ปิดฝาเรียบร้อย แช่ตู้เย็น ไว้สามวัน แล้วค่อยตักออกมาผสมน้ำ อุ่น หรือ ธรรมดา ชงกินก่อนนอนทุกวันนะ ( สูตรบอกสองอาทิตย์ ก้อเห็นผล ) เรามาลองทำ ลองกินกันดูนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก...Brain
ไม่ลองไม่รู้! กินมะนาวน้ำผึ้งก่อนนอนทุกวัน พุงยุบ แขน-ขาเล็กลงๆ หลายๆท่านมีปัญหาเกี่ยวกับน้ำหนักตัวที่มากเกินไป ใส่ชุดอะไรก็ไม่สวย จะซื้อยา...
1. การนวด ใช้มือตัวเองบีบนวดกล้ามเนื้อที่ปวด จะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายเลือดลมเดินสะดวกขึ้น อาการปวดจึงทุเลาลง
2. ประคบด้วยความร้อน เป็นวิธีที่สุดคลาสสิค แต่ได้ผลค่อนข้างดี เพราะความร้อนจะช่วยให้เส้นเลือดขยายตัว สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อที่ปวดได้ อาการปวดจึงบรรเทาลง
3. เปลี่ยนอิริยาบถ เป็นวิธีที่ดีมาก ควรใช้ป้องกันมากกว่าการรักษา วิธีนี้ช่วยไม่ให้กล้ามเนื้อต้องทำงานจนล้า เพราะเมื่อเปลี่ยนท่าทาง กล้ามเนื้อชุดใหม่จะทำงานแทนกล้ามเนื้อชุดเก่าจะได้พัก การสลับการทำงานของกล้ามเนื้อเช่นนี้ ช่วยให้กล้ามเนื้อไม่อ่อนล้าเร็ว จึงทำงานได้นาน
4. บริหาร โดยเลือกท่ากายบริหารที่เหมาะสม หากทำเป็นประจำจะช่วยสลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อได้รวดเร็ว ช่วยยืดเหยียดกล้ามเนื้อ และทำให้พลังในร่างกายไหลเวียนอย่างต่อเนื่อง
หากปฏิบัติเป็นประจำก็จะลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและโรคกระดูกที่อาจจะเกิดตามมาด้วยค่ะ
ที่มา...นิตยสารชีวจิต ปีที่ 16, ฉบับที่ 372, เมษายน 2557, หน้า 14.
4 เทคนิค ลดปวดตึงคอ บ่า ไหล่ และศีรษะ จากการใช้คอมพิวเตอร์ Photo By punchng.com หลังจากใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันมาทั้งวัน หลายคนอาจมีอาการปวดต...
เรามักได้ยินคนเฒ่าคนแก่พูดถึงข้อห้ามมากมายเกี่ยวกับการกินและข้อควร ปฏิบัติ เช่น คนที่ร้อนในง่ายห้ามกินของร้อน (คุณสมบัติหยาง) ของทอดๆ มันๆ ของเผ็ด โดยมีการยกตัวอย่างมาดังนี้
กินทุเรียนแล้วห้ามกินเหล้า
กินทุเรียนแล้วควรกินมังคุดหรือกินน้ำเกลือตาม
กินลำไยมากระวังตาจะแฉะ
เวลาเริ่มเป็นหวัด เจ็บคอ ควรกินพวกยาขม
เวลาร้อนใน ให้กินน้ำจับเลี้ยง หรือกินน้ำเก๊กฮวย
หญิงปวดประจำเดือนห้ามกินของเย็น (ลักษณะยิน) เช่น แตงโม น้ำมะพร้าว
คนที่กินยาบำรุงจีน ห้ามกินผักกาดขาว หัวไชเท่า ฯลฯ เพราะจะล้างยา (ทำให้ฤทธิ์ของยาน้อยลง) ฯลฯ
คำกล่าวเหล่านี้ก็มีในทัศนะทางการแพทย์แผนจีนมาจากพื้นฐานที่ว่า “อาหารคือยา อาหารและยามีแหล่งที่มาเดียวกัน” การเลือกกินอาหารให้เหมาะสมเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องประยุกต์เปลี่ยนแปลง ให้สอดคล้องกับภาวะที่เป็นจริงของบุคคล เงื่อนไขของเวลา และสภาพภูมิประเทศ (สิ่งแวดล้อม) จึงจะเกิดผลที่ดีต่อสุขภาพ
ในแง่ของคนไข้ การเลือกกินอาหารให้เหมาะสม จะทำให้โรคร้ายทุเลาลง ช่วยเสริมการรักษาและฟื้นฟูร่างกาย ในทางกลับกันการเลือกอาหารไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ย่อมทำให้โรคร้ายรุนแรง กำเริบและบั่นทอนสุขภาพมากขึ้น
อาหารแสลงหรืออาการต้องห้าม ในความหมายที่กว้าง หมายถึง
1.การกินอาหารที่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป ก็เกิดโทษ
2.การกินอาหารชนิดเดียวกัน ซ้ำซาก ก็เกิดโทษ
3.การกินอาหารที่ไม่สอดคล้องกับภาวะร่างกายในยามปกติ (ลักษณะธาตุของแต่ละบุคคล)
4.การกินอาหารที่ไม่สอดคล้องกับภาวะเจ็บไข้ได้ป่วย หรือในขณะที่เป็นโรค
5.การกินอาหารที่ไม่สอดคล้องกับยาสมุนไพรที่ใช้รักษาในขณะเป็นโรค
การกินอาหารมากไป หรือน้อยไป และการกินอาหารชนิดเดียวกันอย่างซ้ำซากได้กล่าวมาแล้วในครั้งก่อน ที่จะกล่าวต่อไป คือ หลักการหลีกเลี่ยงอาหารในขณะเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคต่างๆ หรือภายหลังการฟื้นจากการเจ็บป่วย
อาหารกับ 10 โรค
1.คนที่เป็นไข้หวัด ไข้สูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่สุก อาหารที่เย็นมาก หรืออาหารทอด อาหารมัน ซึ่งล้วนแต่ทำให้ย่อยยาก ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนสะสม เปรียบเสมือน “อาหารเชื้อเพลิง” หรือการเติมน้ำมันเข้าไปในกองไฟ
2.คนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ กระเพาะอาหารเป็นแผล หรือระบบการย่อยไม่ดี ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชาแก่ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดการสะสมความร้อนในร่างกายทำให้โรคหายยาก แนะนำให้กินอาหารปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง กินอาหารตามเวลา และเป็นอาหารอ่อนย่อยง่าย
3.คนที่เป็นโรคความดันเลือดสูง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาหลอดเลือดแข็งตัว (ตามภาวะความเสื่อมของร่างกาย) ทำให้หลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น ควรหลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารที่มีคลอเลสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น ตับ สมอง ถั่ว น้ำมันหมู ไขกระดูก ไข่ปลา โกโก้ น้ำมันเนย รวมทั้งเหล้า เพราะอาหารเหล่านี้จะทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในร่างกาย(ความชื้นมีผลให้ เกิดความหนืดของการไหลเวียนต่อร่างกายทุกระบบ ความร้อนทำให้ภาวะร่างกายถูกกระตุ้น ทำให้ความดันสูง) นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด (ฤทธิ์กระตุ้น) หรืออาหารหวานมาก เช่น ลำไย ขนุน ทุเรียน ฯลฯ (คุณสมบัติร้อน) เราคงได้ยินบ่อยๆว่า มีคนที่เป็นโรคความดันสูง แล้วไปกินทุเรียนร่วมกับเหล้า แล้วหมดสติ เสียชีวิต จากภาวะเส้นเลือดในสมองแตกก็สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลดังกล่าว
4.คนที่เป็นโรคตับหรือโรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกเหล้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอดๆ มันๆ อาหารหวานจัด เพราะแผนแพทย์จีนถือว่าตับ ถุงน้ำดี มีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร ซึ่งเป็นระบบพื้นฐานของการรับสารอาหารเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกาย ให้เกิดเลือด พลัง การได้อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไปจะทำให้เกิดความร้อนความชื้น ทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอ ซึ่งจะทำให้เกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง
5.คนที่เป็นโรคหัวใจ โรคไต หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด เพราะรสเค็มทำให้มีการเก็บกักน้ำ การไหลเวียนเลือดจะช้า เป็นภาระต่อหัวใจในการทำงานหนักเพิ่มขึ้น ทำให้ไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ขณะเดียวกัน อาหารที่มีรสเผ็ดก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนทำให้ต้องสูญพลังงานมาก และหัวใจก็ต้องทำงานหนักขึ้น โดยสรุปคือ ต้องลดการทำงานของหัวใจและไต โดยไม่เพิ่มปัจจัยต่างๆที่เป็นโทษเข้าไป
6.คนที่เป็นโรคเบาหวาน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวาน หรืออาหารประเภทแป้งที่มีแคลอรีสูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ฯลฯ แนะนำอาหารพวกถั่ว เช่น เต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด ฯลฯ
7.คนที่นอนหลับไม่สนิท ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกชา กาแฟ หรือการสูบบุหรี่ โดยเฉพาะเวลาก่อนนอน เพราอาหารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน หรือทำให้หลับไม่สนิท
8.คนที่เป็นโรคริดสีดวงทวารหรือท้องผูก ต้องหลีกเลี่ยงอาหารประเภท กระเทียม หอม ขิงสด พริกไทย พริก ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้มีความร้อนในตัวสะสมมาก ทำให้ท้องผูก ทำให้เส้นเลือดแตกและอาการริดสีดวงทวารกำเริบ
9.คนที่มีอาการลมพิษ ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง หรือเป็นโรคหอบหืด ควรเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ ผลิตภัณฑ์นมหรือสิ่งกระตุ้นอื่นๆ รวมทั้งรสเผ็ด เพราะสารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นและทำให้มีอาการผื่น ผิวหนังกำเริบ
10.คนที่เป็นสิว หรือมีการอักเสบของต่อมไขมัน ควรงดอาหารเผ็ดและอาหารมัน เพราะทำให้สะสมความร้อนชื้น/data/content/24786/cms/e_abgquvwyz279.jpgของกระเพาะอาหาร ม้าม มีผลต่อความร้อนชื้นไปอุดตันพลังของปอด (ควบคุมผิวหนัง ขนตามร่างกาย) ทำให้เกิดสิว
หลักการทั่วไป ต้องหลีกเลี่ยงอาหารดิบๆ สุกๆ มีคุณสมบัติที่เย็นมาก ขณะเดียวกันอาหารที่ผ่านกระบวนการมาก อาหารที่ย่อยยาก อาหารทอดมันๆ อาหารรสเผ็ดจัด เหล้า บุหรี่ ฯลฯ
ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงภาวะเจ็บป่วยหรือขณะพักฟื้น เป็นภาวะระบบการย่อยดูดซึม (กระเพาะอาหารและม้าม) ทำงานไม่ดี การได้อาหารที่เย็นหรือย่อยยากจะทำให้การย่อย การดูดซึมมีปัญหามากขึ้น ทำให้ขาดสารอาหารมาบำรุงเลี้ยงร่างกาย และต้องสูญเสียพลังเพิ่มขึ้นในการทำงานของระบบย่อย อาหารเผ็ด เหล้า และบุหรี่ มีฤทธิ์กระตุ้นและเพิ่มความร้อนในร่างกายทำให้มีการใช้พลังงานมากโดยไม่จำ เป็น
อาหารแสลงในทัศนะแพทย์แผนจีน คือ อาหารที่ไม่เย็น (ยิน) หรืออาหารที่ไม่ร้อน (หยาง) จนเกินไป กล่าวคือต้องไม่ดิบ (ต้องทำให้สุก) และต้องไม่ผ่านกระบวนการที่ทำให้เกิดคุณสมบัติร้อนมากเกินไป (ทอด ย่าง ปิ้ง เจียว ผัด) เพราะสุดขั้วทั้งสองด้านก็ไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย
อาหารดิบ ไม่สุก ทำให้ระบบย่อยทำงานหนัก ทำให้เสียสมรรถภาพการย่อยดูดซึมอาหารตกค้าง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องอืด ขาดสารอาหาร
อาหารร้อนเกินไป ทำให้ระบบย่อยทำงานหนัก มีความร้อนความชื้นสะสม เกิดความร้อนใน ร่างกายมากเกินไป ไปกระทบกระเทือนอวัยวะอื่นๆ เช่น กระทบปอด ลำไส้ ทำให้ท้องผูก เจ็บคอ ปากเป็นแผล กระทบตับ ทำให้ความดันสูง ตาแฉะ อารมณ์หงุดหงิด กระทบไต ทำให้ปวดเมื่อยเอว ผมร่วง ฯลฯ
อาหารที่ผ่านการปรุงแต่งน้อยที่สุด จะได้สารและพลังจากธรรมชาติมากที่สุด อย่างไรก็ตาม ความเห็นในทางการแพทย์แผนปัจจุบัน แนะนำให้กินผัก สด ผลไม้สด ซึ่งไม่น่าขัดแย้งกัน เพราะเทคนิคการทำอาหารของจีน ต้องไม่ให้ดิบ และสุกเกินไป เพื่อดูดซับสารและพลังจากธรรมชาติให้มากที่สุด ดิบเกินไปจะทำให้เกิดพิษจากอาหาร สุกเกินไปทำให้เสียคุณค่าอาหารทางธรรมชาติ การเลือกกินอาหารที่ผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนและมีการปรุงแต่งที่มากเกินไป จะทำให้อาหารฮ่องเต้กลายเป็นอาหารชั้นเลวในแง่หลักโภชนาการ
การเลือกอาหารให้สอดคล้องเหมาะสม ไม่ใช่สูตรตายตัว แต่ต้องยืดหยุ่นพลิกแพลง และปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาวะที่เป็นจริงของแต่ละบุคคล เวลา (เช่น ภาวะปกติ ภาวะป่วยไข้ กลางวัน กลางคืน ฤดูกาล) และสถานที่ (ภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อม) เพื่อให้เป็นธรรมชาติและยังประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพ
ที่มา : http://www.thaihealth.or.th
กินแล้วอันตราย!! อาหารแสลง (อาการต้องห้าม) 10 โรค เรามักได้ยินคนเฒ่าคนแก่พูดถึงข้อห้ามมากมายเกี่ยวกับการกินและข้อควร ปฏิบัติ เช่น คนที่ร้อนใ...
บ่อยครั้งที่การออกกำลังกายไม่สามารถสลายไขมันในร่างกายได้รวดเร็วดังที่ใจต้องการ ดังนั้นวิธีการดูดไขมันจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีลดความอ้วน ที่หลายๆคนให้ความสนใจอยู่ไม่น้อย
คำถามยอดฮิตที่คนอย่างรู้เกี่ยวกับการดูดไขมันก็คือ การดูดออกได้มากที่สุดแค่ไหนจึงจะปลอดภัย ทั้งนี้เพราะว่าไหนๆก็เจ็บตัวแล้วเสียเงินแล้ว ขอเอาออกที่เดียวเยอะไปเลย แต่ก็ต้องปลอดภัยด้วย
อ่านบทความงานวิจัย เรื่อง How much liposuction is 'safe'? A Risk Assessment Model of Liposuction Volume as a Function of Body Mass Index ตีพิมพ์ในวารสารหมอศัลยกรรทพลาสติกของสมาคมแพทย์ศัลยกรรมสหรัฐน่าจะใช้เป็นแนวคิด วารสารชื่อ Plastic and Reconstructive Surgery, journal of the American Society of Plastic Surgeons (ASPS) ของฉบับเดือนกันยายนนี้
ผู้แต่งชื่อ นพ.จอห์น คิม อยู่ที่มหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเติร์น เฟนเบริ์ก แห่งรัฐชิคาโก เขาบอกว่าการดูดไขมัน ถ้าทำโดยศัลยแพทย์พลาสติกที่ได้รับการฝึกฝน มีประสบการณ์จะมีผลข้างเคียงน้อยมาก 1000 คนพบได้ 1 คน
เขาได้วิเคราะห์ข้อมูลจากการดูดไขมันผู้ป่วยมากกว่า 4500 ราย ที่มีอยู่ในฐานข้อมูลของสมาคม จาก 4500 คนนี้เขาได้หาความสัมพันธ์ระหว่างอาการแทรกซ้อน กับปัจจัยต่างๆ เช่นดัชนีมวลกาย พบอาการแทรกซ้อนหลังผ่าเท่ากับ 1.5% อาการแทรกซ้อนที่พบส่วนใหญ่ก็คือการมีน้ำเหลืองคั่งจนต้องระบายออก เมื่อดูละเอียดลงไปพบว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้ถูกดูดไขมันออกโยเฉลี่ยเท่ากับสองลิตร ผู้ป่วยที่ดูดออกมากกว่าคือเฉลี่ย 3.4 ลิตร จะมีอาการแทรกซ้อนมากขึ้น 3.7%
เขาพบว่าคนที่มีดัชนีมวลการมากกว่าจะทนต่อปริมาณการดูดไขมันออกที่มากกว่า อาการแทรกซ้อนเกิดน้อยกว่า หมอคิมและคณะจึงเสนอแนวคิดว่าคนไข้มี "relative liposuction volume threshold" พิจารณาจากดัชนีมวลกายของคนไข้แต่ละคน หมายถึงปริมาณไขมันมากที่สุดที่ดูดออกแล้วไม่เกิดโรคแทรกซ้อน ปริมาณไขมันที่มากกว่าเส้นแบ่งอันนี้ขึ้นไป ถ้าดูดไปก็หมายถึงความเสี่ยงต่ออาการแทรกซ้อนเพิ่มขึ้นนะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าห้ามดูดเลย
นอกเหนือจากดัชนีมวลกายของคนไข้แล้ว ปัจจัยอย่างอื่นเช่น ระยะเวลาของการดูด สภาพของผู้ป่วย การกระทำอย่างอื่นที่ใช้ร่วมในการดูด ด้วยวิธีการประเมินปริมาณไขมันที่ใช้ดัชนีมวลกายนี้ ได้นำมาใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจในการปรึกษาระหว่างหมอกับผู้ป่วย
บทความจาก...... diabassocthai.org สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ดูดไขมัน หุ่นกระชับในครั้งเดียว แต่ดูดไขมันออกมากแค่ไหน ถึงจะปลอดภัย ? บ่อยครั้งที่การออกกำลังกายไม่สามารถสลายไขมันในร่างกายได้รวดเร็วดังที่...
การดื่มน้ำเมื่อท้องว่างผ่านกระเพาะอาหาร เพื่อรักษาสุขภาพที่ดีในประเทศญี่ปุ่นทุกวันนี้ เป็นที่นิยมดื่มน้ำทันทีหลังจากตื่นนอนตอนเช้า (ก่อนแปรงฟัน) เพื่อการรักษาสุขภาพที่ดี
*มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์* "พบว่าน้ำสามารถใช้ชะลอความแก่" และสามารถบำบัดรักษาโรคเหล่านี้ได้ผล100% (แบบค่อยเป็นค่อยไปต้องใช้ระยะเวลา) ปวดหัวปวดตามตัว โรคระบบหัวใจ โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจเต้นเร็ว โรคลมบ้า หมู โรคอ้วน โรคหลอดลมอักเสบ โรคหืด วัณโรค อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ โรคไตและยูริก โรคแสลง คลื่นไส้ต่างๆ โรคกระเพาะ โรคท้องร่วง โรคริดสีดวงทวาร โรคเบาหวาน โรคอาการท้องผูก โรคตา โรคภายในสตรี มะเร็ง รอบเดือนไม่ปกติ โรคคอ หู จมูก
วิธีการปฏิบัติ
1. ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำ 4 แก้ว (640 ซีซี)
2.หลังจากนั้นสามารถและล้างหน้าอาบน้ำได้ แต่ต้องไม่ดื่ม หรือรับประทานอะไร จนกว่า 45 นาทีผ่านไป จึงจะรับประทานได้ตามปกติ
3.หลังรับประทานอาหารเช้า กลางวัน เย็น ไปแล้ว 15 นาที ไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานอะไร จนกว่า 2 ชั่วโมงผ่านไป
4. ผู้ป่วย หรือคนชรา ที่ไม่สามารถดื่มน้ำ 4 แก้ว ก็ให้ค่อยๆ ดื่ม ค่อยเป็นค่อยไปเรื่อยๆ จนได้ครบ 4 แก้ว
ข้อปฏิบัติ 4 ข้อดังกล่าว จะทำให้ท่านบำบัดรักษาโรคที่เป็นอยู่ค่อยๆเบาและหายขาดได้ในที่สุด ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้นเพียงแต่อาจปัสสาวะบ่อยขึ้นและหลังดื่มน้ำไปแล้วประมาณ 1-2 ชั่วโมง จะปวดปัสสาวะ
1.โรคความดันโลหิตสูง 30 วัน
2. โรคกระเพาะ 10 วัน
3. โรคเบาหวาน 30 วัน
4. โรคท้องผูก 10 วัน
5. โรคมะเร็ง 180 วัน
6. โรควัณโรค 90 วัน
7.โรคไขข้ออักเสบจะเห็นผลภายใน 3 วัน
อ้างอิง...Forward mail
ดื่มน้ำตอนท้องว่าง ชะลอความแก่ บำบัดรักษาโรคได้ 100% Photo By jitanbijin.jp การดื่มน้ำ เมื่อท้องว่างผ่านกระเพาะอาหาร เพื่อรักษาสุขภาพที่ดีใน...
เคยสงสัยบ้างไหมว่า? ทำไมสาวๆสมัยก่อนถึงได้มีผิวพรรณสวยงาม วันนี้เราขอแนะนำสูตรประทินโฉมที่บอกกันมารุ่นต่อรุ่น สูตรไหนชัวร์ สูตรไหนมั่วนิ่ม ห้ามเปิดผ่าน! ไม่งั้นคุณจะเสียใจ
สูตรที่ 1 น้ำต้มกิ่งมะขามรักษาสิวเรื้อรัง
วัตถุดิบ: กิ่งมะขามเล็ก ๆ ที่ไม่แก่เกินไปประมาณ 5 กิ่ง
วิธีใช้: นำกิ่งมะขามทั้งหมดมาต้มให้เดือดนานประมาณ 10 นาที ทิ้งไว้จนเย็น นำมาล้างหน้าเช้า-เย็นทุกวัน ประมาณ 1 สัปดาห์ ปัญหาเรื่องสิวจะค่อย ๆ ดีขึ้น
เวิร์กหรือไม่: ไม่ยืนยันว่ากิ่งมะขามใช้แล้วจะได้ผลดีนะคะ และคาดว่าสูตรนี้น่าจะเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ยังไม่มีบันทึกไว้ในคัมภีร์แพทย์แผนโบราณอย่างเป็นระบบแต่อาจจะเป็นสูตรที่บอกเล่าสืบต่อกันมา เพราะตามตำราโบราณของไทยมักจะใช้ส่วนฝักซึ่งเป็นมะขามสุกและใช้แก้ท้องผูก เพราะมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้ รวมทั้งมีกรด AHA ช่วยกระตุ้นให้ผิวผลัดเร็วขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปเขาใช้ผสมในเคลนซิ่งครีม หรือครีมขัดผิวทั้งหลายแหล่
ช่วงนี้ชี้แนะ: ความจริงพืชผักที่มีรสเปรี้ยวทั้งหลายก็คือกรดอ่อน ๆ นั่นเอง ที่มักจะมีคุณสมบัติล้างผิวหนังที่แก่ตายแล้วให้หลุดลอกเร็วขึ้น อย่างมะนาว มะขาม กระเจี๊ยบ อันนี้ใช่เลย แต่ที่บางคนใช้แล้วแพ้ ผิวลอกหน้าเป็นขุย ผื่นถามหา เพราะดันไปใช้ในปริมาณความเข้มข้นสูงเกินไป อย่างที่บางคนอุตริฝานมะนาวเป็นแผ่นแล้วเอามาทาหน้าซะอย่างนั้น ถ้ารู้จักนำมาเจือจางน้ำสุกก่อนล้างหน้าจะไม่เป็นอันตรายต่อผิว เพราะเวลากินเรายังปลอดภัยเลย ประสาอะไรกับผิวกายภายนอก
สูตรที่ 2 น้ำมันมะกอกใส่ไข่ไก่ช่วยให้ผมสวย มีน้ำหนัก (เหมาะกับผมเส้นเล็ก)
วัตถุดิบ: น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ ไข่ไก่ 1 ฟอง
วิธีใช้: น้ำมันมะกอก 1 ถ้วย ผสมไข่ไก่ 1 ฟอง ตีให้เข้ากัน นำมาชโลมและนวดผมให้ทั่วทั้งศีรษะ ทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง ล้างออกแล้วสระผมด้วยแชมพูตามปกติ แต่สูตรนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ครีมนวดผม ทำเป็นประจำ ผมที่เคยแห้งกรอบจะกลับมานุ่มมีน้ำหนัก
เวิร์กหรือไม่: เวิร์กแน่ ๆ แต่สำหรับเมืองไทย ควรจะเปลี่ยนมาใช้น้ำมันรำดิบกับไข่ไก่จะเวิร์กสุด ๆ เพราะน้ำมันรำดิบมีคุณประโยชน์ไม่แพ้กัน แถมยังหาง่ายและถูกสตางค์กว่ามาก สูตรนี้เป็นสูตรดั้งเดิมของคนยุโรปใต้ที่เราไปลอกเลียนเขามา ไม่ได้ค้นคิดขึ้นเอง ก็แหมบ้านเรามีโอลีฟ ออยล์ อย่างอิตาลี ตุรกี และกรีซ ที่ไหนล่ะ
สูตรที่ 3 น้ำมะขามเปียกคืนชีวิตชีวาให้เส้นผม
วัตถุดิบ: น้ำมะขามเปียกครึ่งถ้วย
วิธีใช้: สระผมด้วยแชมพูอ่อน ๆ 1 ครั้ง แล้วชโลมน้ำมะขามเปียกให้ทั่วศีรษะ หมักทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง สระออกด้วยแชมพูอีกครั้ง ทำซ้ำ ๆ ประมาณ 1 สัปดาห์ ผมที่แห้งกรอบจะนุ่มและสุขภาพดีขึ้น
เวิร์กหรือไม่: ไม่ขอส่งเสริมให้ใช้ เพราะตามสูตรระบุแค่ว่าใช้น้ำมะขามเปียกครึ่งถ้วย ทีนี้ในการเตรียมน้ำมะขามเปียกนี่ ถ้าให้ถูกหลักต้องกำหนดให้แน่ชัดว่าละลายในน้ำต้มปริมาณเท่าใด สูตรนี้บกพร่องตรงที่ไม่ได้บอกขนาดและปริมาณมะขามต่อน้ำที่ชัดเจน ถ้าเป็นภูมิปัญญาที่เชื่อถือได้จริง ๆ อย่างตำรายาหลวง จะระบุขนาดยาที่แน่นอนไว้เลย ว่าต้องใช้ส่วนผสมอะไร เท่าไร อย่างไร สูตรนี้น่าจะเป็นสูตรพื้นบ้านอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งคนเคยใช้คงรู้ปริมาณโดยวงใน เพราะทำใช้กันเองจนชิน
สูตรที่ 4 เกลือแก้ผมร่วง
วัตถุดิบ: เกลือ
วิธีใช้: ผสมเกลือ 3 ช้อนโต๊ะ กับน้ำอุ่นครึ่งถ้วย คนให้เกลือละลายจนหมด ใช้นวดบนเส้นผมที่สะอาดให้ทั่วศีรษะประมาณ 5 นาที จึงล้างออกให้สะอาด ทำบ่อย ๆ ผมจะหยุดร่วงในที่สุด
เวิร์กหรือไม่: ที่สูตรบอกว่าแก้ผมร่วง อาจเพราะเกลือที่มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อได้ แต่ตรงนี้น่าจะเป็นแค่ตัวเสริมไม่ให้หนังศีรษะติดเชื้อ คงไม่ใช่ตัวหลักในการรักษาผมร่วง ปกติแล้วเกลือจะแรงและระคายเคืองต่อผิวหนัง จึงต้องระมัดระวังเรื่องความเข้มข้นที่ใช้ และที่จริงเกลือจะละลายในน้ำ ฉะนั้นเกลือจะฆ่าเชื้อเฉพาะสภาพผิวหนังที่มีความชื้นหรือมีน้ำเท่านั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไปลดความมันของหนังศีรษะ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของผมร่วง
ช่วงนี้ชี้แนะ: ถ้าจะใช้เกลือกับผิวพรรณละก็ ความเข้มข้นของน้ำเกลือที่ควรใช้คือประมาณ 0.9% ซึ่งปลอดภัยพอที่จะไม่ทำให้ผิวระคายเคือง
สูตรที่ 5 น้ำคั้นจากใบตำลึง เพื่อผมดำเงางาม
วัตถุดิบ: ใบตำลึง
วิธีใช้: คั้นน้ำจากใบตำลึงสดให้ได้ 1 ถ้วย (แบบข้น ๆ) หลังสระผมด้วยแชมพูอ่อน ๆ 1 ครั้ง นวดน้ำตำลึงที่คั้นไว้ให้ทั่วศีรษะ หมักทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง ทำประจำประมาณ 3 สัปดาห์ ผมจะดำเป็นเงางาม
เวิร์กหรือไม่: สูตรนี้ไม่ได้ถูกระบุไว้ในตำรายาแผนโบราณของไทย จึงไม่ยืนยันว่าใช้ได้ผลจริง เพราะไม่ทราบที่มาของต้นตอ ปกติแล้วตำลึงเป็นยาเย็นใช้ดับพิษ ถอนพิษ แก้ตาช้ำ ตาแดง ปวดตา ใช้เป็นยาลดไข้ มองไม่เห็นเลยว่ามีส่วนไหนใช้ได้ดีกับเส้นผม
ช่วงนี้ชี้แนะ: ถ้าอยากจะรู้ว่าจะใช้ได้ผลจริงหรือไม่ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญ ลองนำไปพิสูจน์ตามหลักเกณฑ์ 3 แนวทาง คือหนึ่ง-ในใบตำลึงมีสารที่เป็นคุณประโยชน์ต่อผมจริงไหม สอง-ใช้แล้วปลอดภัยหรือเปล่า และสาม-ใช้ได้ผลจริงหรือไม่ เหลืออีก 6 สูตรความงามโบราณที่เราจะวิเคราะห์ให้คุณได้รู้จริงไม่มีมั่ว! ไว้ติดตามกันตอนต่อไปนะคะ
สูตรที่ 6 ชาถุงปลอบประโลมผิวไหม้เกรียม
วัตถุดิบ: ชาชนิดถุง
วิธีใช้: นำชาถุงมาชงน้ำร้อน ทิ้งไว้จนเย็นใช้น้ำชาที่เย็นแล้วทาผิวที่ไหม้เกรียมให้ทั่ว ส่วนถุงชายังมีประโยชน์ สามารถใช้ประคบตาช่วยลดอาการตาบวมได้ เวิร์กหรือไม่: ปกติชาเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระแต่ยังมีอิทธิฤทธิ์อื่น ๆ อีก เช่น ฆ่าเชื้อ แก้อักเสบ เวลาผิวหนังคนเราไหม้เกรียมมักจะแสบร้อนเพราะอาการอักเสบ ชาในสูตรนี้จึงแก้อักเสบและฆ่าเชื้อในคราวเดียวกัน สารในชาที่มีฤทธิ์ป้องกันผิวไหม้เกรียมจะอยู่ในกลุ่มของสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างพวก แคทติชิน ส่วนถุงชาช่วยลดอาการตาบวม ก็ใช้หลักการเดียวกับลูกประคบทั่วไป แต่แนะนำให้แช่น้ำร้อนทิ้งไว้พออุ่นก่อนนำมาโปะตา ไม่ใช่แช่ตู้เย็นแล้วนำมาโบ๊ะ
ช่วงนี้ชี้แนะ: การเลือกใช้ชาบ้านเราต้องเลือกที่คุณภาพดี อาจใช้มาตรฐานที่ อย.รับรองแล้วก็ได้ เราควรดูรายละเอียดข้างฉลากด้วยว่ามีแคทติชิน ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ที่สุดอยู่กี่มากน้อย
สูตรที่ 7 น้ำนมข้าวโพดบำรุงผิว
วัตถุดิบ: ข้าวโพดดิบ 1 ฝัก
วิธีใช้: แกะเอาแต่เมล็ดข้าวโพด โขลกหรือปั่นให้ละเอียด คั้นเอาแต่น้ำนม ทาให้ทั่วใบหน้าทุกวัน จะบำรุงผิวให้มีน้ำมีนวล
เวิร์กหรือไม่: บำรุงผิวได้จริง เพราะข้าวโพดมีสารอาหารที่มีประโยชน์หลายชนิด เช่น กรดอะมิโน และวิตามินต่าง ๆ ช่วยบำรุงเซลล์
ช่วงนี้ชี้แนะ: อย่าเอ๋อโขลกทาตอนเป็นสิวเชียว เดี๋ยวสิวเห่อเต็มหน้าจะแย่ เพราะของดีมีประโยชน์ก็เป็นของชอบของแบคทีเรียนะ จำไว้
สูตรที่ 8 น้ำมันมะพร้าวสูตรคนอินเดีย
วัตถุดิบ: มะพร้าวขูด 1 ถ้วย
วิธีใช้: คั่วมะพร้าวขูด 1 ถ้วยให้แห้ง นำมาคั้นเอาแต่น้ำมันใช้ทาผมทุกวันโดยไม่ต้องล้างออก จะช่วยให้ผมดำสลวย ไม่หงอกขาว
เวิร์กหรือไม่: ได้ผลชัวร์ ๆ เพราะเป็นสูตรที่คิดค้นและใช้กันมาหลายพันปีแล้ว เป็นภูมิปัญญาของอินเดียโบราณ (อายุรเวดิค เมดิซีน) ยาปลูกผมของชาวอินเดียจะใส่น้ำมันมะพร้าวเป็นหลัก สารสำคัญในน้ำมันมะพร้าวนั้นมีทั้งตัวขจัดรังแค และกระตุ้นให้เซลล์เส้นผมเจริญเติบโตดี ทำให้เซลล์สมบูรณ์ ช่วยให้ผมดกดำเป็นเงางาม มีฤทธิ์หล่อลื่น ผมจึงสลวยสวยเก๋
ช่วงนี้ชี้แนะ: แต่สูตรนี้คลาดเคลื่อนไปตรงที่น้ำมันมะพร้าวดังกล่าวไม่ใช่ชนิดที่ใช้ความร้อนกลั่นออกมา ต้องใช้วิธีบีบเย็นคือ เอาเนื้อมะพร้าวแก่ที่เพิ่งกะเทาะจากกะลา มาบีบเอาแต่น้ำมันโดยไม่ใส่น้ำ ไม่งั้นจะกลายเป็นน้ำกะทิขาว ๆ ข้น ๆ ใช้ไม่ได้ผลอีกเช่นกัน น้ำมันแบบบีบเย็นนี้จะใส ๆ และมีกลิ่นหอมแบบของสด ไม่ใช่น้ำมันมะพร้าวเคี่ยวไฟ ที่เมื่อทิ้งไว้จะมีกลิ่นเหม็นหืน
สูตรที่ 9 มะเขือเทศผสมมะนาวลดปัญหาผิวมัน
วัตถุดิบ: น้ำมะเขือเทศสดและน้ำมะนาวสด
วิธีใช้: ผสมน้ำมะเขือเทศสด 2 ช้อนโต๊ะ และน้ำมะนาวสด 1 ช้อนโต๊ะ ใช้ทาหน้าทุกเช้าและทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง จะช่วยลดความมันบนใบหน้า
เวิร์กหรือไม่: การันตีว่าได้ผลดีเอามาก ๆ เพราะมะเขือเทศมีสารละลายไขมันได้และสารสำคัญที่กำลังฮิตในมะเขือเทศตอนนี้ คือตัวต้านอนุมูลอิสระ ยิ่งผสมมะนาวเข้าไปก็เหมือนกับใส่ AHA ช่วยกระตุ้นผิวหนังกำลังสอง
ช่วงนี้ชี้แนะ: ถ้ามะเขือเทศหมดตู้ ไม่ต้องวัยรุ่นเซ็ง เราสามารถใช้น้ำมันรำดิบเช็ดทำความสะอาดผิวแล้วล้างออก ก็ช่วยชำระความมันได้ดีไม่แตกต่างกัน เพราะปกติสารจำพวกน้ำมันนี้นิยมใช้เป็นส่วนประกอบของแชมพู หรือโลชั่นล้างทำความสะอาดผิวอยู่แล้ว
สูตรที่ 10 น้ำซาวข้าวเจ้ารักษาสิวฝ้า
วัตถุดิบ: ข้าวเจ้าดิบ
วิธีใช้: ใช้น้ำซาวข้าวครั้งที่สอง ชโลมทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก ทำเป็นประจำจะช่วยแก้สิวฝ้า บำรุงผิวหน้าให้ขาวนวลขึ้น
เวิร์กหรือไม่: สมุนไพรใดจะสามารถรักษาสิวได้ ต้องมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อเป็นหลัก แต่ในน้ำซาวข้าวส่วนใหญ่มีแต่สารบำรุง เช่น วิตามินต่าง ๆ กรดอะมิโน ซึ่งล้วนแต่เป็นอาหารเลี้ยงเชื้อทั้งสิ้น ขืนใช้ชโลมหน้า มีหวังสิวเขรอะ เปรียบง่าย ๆ ก็เหมือนเราเอาอาหารที่อุดมด้วยประโยชน์ไปเลี้ยงเชื้อ ส่วนที่ระบุว่ารักษาฝ้าได้นั้น ปัจจุบันตัวยาที่รักษาฝ้าถาวรแทบจะไม่มี มีแต่สารป้องกันให้ฝ้าจางลงเท่านั้น ซึ่งพอหยุดใช้สักพักฝ้า ก็กลับมาเป็นใหม่
ช่วงนี้ชี้แนะ: ถ้าจะใช้สมุนไพรทำเองสด ๆ สำหรับรักษาสิวแล้วละก็ น่าจะใช้ใบบัวบกมากกว่า เพราะมีตัวยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ ปัจจุบันตัวยาสมุนไพรทั่วไปที่ใช้รักษาสิว มักผสมสารสกัดจากใบบัวบกซึ่งมีคุณสมบัติต้านเชื้อ สารสกัดจากเสลดพังพอนตัวเมีย และพญายอ ซึ่งมีฤทธิ์ต้านไวรัสผสมมอยส์เจอไรเซอร์ คือว่านหางจระเข้บำรุงผิวให้ชุ่มชื่นอีกนิด แต่ถ้าอยากจะใส่สมุนไพรที่มีซันบล็อก ก็เติมน้ำมันรำดิบเข้าไปแค่นี้ก็ซูเปอร์เพอร์เฟ็กต์
สูตรที่ 11 นมผสมน้ำผึ้งและน้ำมะนาวไวเทนนิ่งแบบพื้นบ้าน
วัตถุดิบ: นมสดน้ำผึ้งแท้ 100% น้ำมะนาวสด
วิธีใช้: ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ นมสด 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาวสด 2 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน ทาทั่วใบหน้าแล้วทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ทำเป็นประจำทั้งเช้าและเย็น จะช่วยให้ผิวหน้าขาวขึ้น สูตรนี้สำหรับสาวผิวแห้งเท่านั้น
เวิร์กหรือไม่: สูตรนี้ที่จริงไม่ได้เป็นไวเทนเนอร์ เพราะของจากธรรมชาติที่จะเป็นไวเทนเนอร์ได้ ต้องมีคุณสมบัติป้องกันไม่ให้เมลานินบนผิวหนังสร้างสี แต่น่าจะเป็นตัวล้างผิวมากกว่า ช่วยขัดผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไปเร็วขึ้น หน้าจะได้ไม่หมองคล้ำ ส่วนน้ำผึ้งมีคุณสมบัติเป็นมอยส์เจอไรเซอร์ชั้นดี เพราะมีคุณสมบัติดูดความชื้น เมื่อทาแล้วผิวจึงชุ่มชื้นเช่นเดียวกับน้ำนม
นิตยสาร Women's Health ฉบับเดือนมิถุนายน 2013 / http://www.womenshealththailand.com/
เคยสงสัยบ้างไหมว่า? ทำไมสาวๆสมัยก่อนถึงได้มีผิวพรรณสวยงาม วันนี้เราขอแนะนำ สูตรประทินโฉม ที่บอกกันมารุ่นต่อรุ่น สูตรไหนชัวร์ สูตรไหนมั่วนิ่ม...
สวัสดีค่ะวันนี้จะมาขอรีวิวสั้นๆ (ครั้งแรกตั้งแต่เป็นสมาชิกมาค่ะ สู้ๆ) ปัญหาของเราก็คือก่อนหน้านี้ เราเป็นคนหัวเข่าดำมากค่ะ ย้ำว่าดำมากนะคะแต่ไม่ด้าน พยายามทาครีม ขัดผิวยังไงก็ไม่หายค่ะ แต่วันนี้มันหายออกจากชีวิตเราไปแล้วค่าาาา และตัวช่วยของเราก็คือตัวนี้ค่า มันคือมะนาวนั่นเอง
วิธีใช้นะคะ
ฝานมะนาวออกมาครึ่งนึงค่ะ หลังอาบน้ำเสร็จก็ชโลมลงไปที่ผิวเลยนะคะเอาให้ชุ่มเลยค่ะ แล้วก็ทิ้งไว้จนแห้งไปเอง หลังจากนั้นก็ทาครีมปกติค่ะ แต่ครีมของเรา เราใช้เป็นวาสลีนสีชมพูสูตรAHAค่ะ (เพื่อจะเพิ่มความขาวแบบทวีคูณ) ทำแบบนี้ทุกวันหลังจากผ่านไปเกือบๆ2อาทิตย์ ผิวตรงหัวเข่าก็จะเริ่มลอกค่ะ จะเห็นว่าผิวตรงส่วนที่ลอกผิวจะขาวกว่าผิวเดิมค่ะ
ระหว่างนั้นผิวจะลอกออกเรื่อยๆค่ะ แต่ไม่มีอาการเจ็บหรือแสบอะไรเลยนะคะ ในช่วงนี้ให้เราทำแบบเดิมไปเรื่อยๆค่ะ และทาครีมบำรุงเข้าไปเยอะๆ รูปนี้เป็นรูปปัจจุบันค่ะ จะเห็นว่าผิวบางส่วนตรงที่เป็นสีดำๆยังลอกออกไปไม่หมดเลยค่ะ แต่ก็ขาวขึ้นพอสมควรค่ะ(แม่บอกว่า60%)
เราขอจบรีวิวเพียงเท่านี้นะคะ ถ้ามีอะไรผิดพลาด หรือรูปอาจจะไม่สวย เราต้องขออภัยนะคะ ครั้งต่อไปจะพยายามปรับปรุงค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจากสมาชิกเว็บไซต์ pantip.com คุณ ข้าวสวย ร้อน ร้อน
สวัสดีค่ะวันนี้จะมาขอรีวิวสั้นๆ (ครั้งแรกตั้งแต่เป็นสมาชิกมาค่ะ สู้ๆ) ปัญหาของเราก็คือก่อนหน้านี้ เราเป็นคนหัวเข่าดำมากค่ะ ย้ำว่าดำมากนะคะแต...