ผู้หญิงคนหนึ่งชีวิตเปลี่ยน เมื่อเธอลดความอ้วนโดยไม่ต้องอดอาหาร!! Photo www.myhealthtips.in
ดิฉันเป็นคนอ้วนมาตั้งแต่เด็ก ตอนเด็กๆยังไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหาอะไร แต่พอโตเป็นสาว เริ่มรู้จักรักสวยรักงาม ก็พยายามจะลดความอ้วน ถึงแม้ตอนนั้นจะอ้วนน้อยกว่าตอนเป็นเด็ก แต่ก็จัดว่ารูปร่างค่อนข้างท้วม คือสูง 150 เซนติเมตร หนัก 52 กิโลกรัม
ดิฉันได้พยายามลดความอ้วนโดยวิธีอดอาหาร บางมื้อไม่กิน ส่วนที่กินก็พยายามกินน้อยๆและดื่มน้ำมะนาวไม่ใส่น้ำตาลทุกวัน เพราะคิดว่ามะนาวจะเข้าไปช่วยละลายไขมันออกมา ไม่สนใจว่าคุณแม่จะบ่นว่าเพราะความเป็นห่วงกลัวจะเป็นโรคกระเพาะอาหาร
การลดความอ้วนแบบนี้ดิฉันไม่เคยทำสำเร็จสักที จริงอยู่ตอนเริ่มทำน้ำหนักจะลดลงมาบ้าง ทำให้รู้สึกดีใจ แต่เมื่อทำไปได้สักระยะหนึ่ง ความอดทนก็หมดไป เลยหันมากินเหมือนเดิม น้ำหนักก็ขึ้นมาอีกอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์เป็นเช่นนี้อยู่เป็นประจำ
เมื่อดิฉันแต่งงาน ปัญหาก็หนักข้อขึ้น น้ำหนักค่อยๆขยับเพิ่มขึ้นจนเกือบ 60 กิโล ตอนนั้นดิฉันชักใจไม่ดี กลัวจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่สามารถหยุดยั้งได้ เพราะเคยได้ยินคนเขาพูดกันว่าพออายุมากขึ้นน้ำหนักก็จะเพิ่มขึ้นตาม
ผลจากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทำให้ดิฉันสุขภาพไม่ดีเลย ปวดหลัง เหนื่อยง่าย เพียงแค่วิ่งขึ้นรถเมล์เวลาจอดห่างหน่อย ก็รู้สึกเหนื่อยจนแทบจะขาดใจ และจะเหนื่อยไปนานเป็นชั่วโมง ตอนเย็นกลับถึงบ้านก็เหนื่อยจนทำอะไรไม่ได้อีก อาการปวดหลังก็คุกคาม
เคยไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอตรวจแล้วบอกทุกอย่างปกติ เอกซเรย์แล้วไม่พบอะไรผิดปกติ แต่ดิฉันอ้วนเกินไปหมอจึงให้ลดความอ้วน เพราะมีพุงเหมือนกับอุ้มกลองใบหนึ่งไว้ตลอดเวลา น้ำหนักถ่วงมาข้างหน้า กระดูกสันหลังรับน้ำหนักที่พุงมากไปทำให้เกิดปวดหลังได้ ดิฉันก็พยายามจะลดความอ้วนอีกตามวิธีเดิม ซึ่งผลก็คือไม่สำเร็จเช่นเดิม แถมมีอาการเวียนหัวเกิดขึ้น
จนกระทั่ววันหนึ่งดิฉันมีโอกาสคุยกับคุณหมอท่านหนึ่ง ท่านสละเวลาอธิบายให้ดิฉันเข้าใจวิธีลดความอ้วนที่ถูกต้อง โดยให้ดิฉันคำนึงถึงการกินอาหารที่ถูกต้อง ไม่ใช่อดอาหาร ต้องกินให้อิ่มทั้ง 3 มื้อ เพื่อจะไม่หิว เพราะถ้าหิวจะทำไม่สำเร็จเหมือนอย่างที่ดิฉันเคยทำ แต่ให้เลือกกินอาหารที่เหมาะสม และมีวิตามินเพียงพอ ทั้งนี้เพื่อสุขภาพที่ดีเป็นอันดับแรก ไม่ให้พะวงกับน้ำหนักมากนัก เพราะมันเป็นผลตามมาเอง
การกินอาหารที่ถูกต้อง ข้อแรกให้งดอาหารที่มีไขมัน ของเค็ม น้ำตาล ไขมันที่มีอยู่ในอาหารต่างๆที่เราอาจคิดไม่ถึงหลายอย่างเช่น กะทิ
เนื้อสัตว์บางชนิดมีไขมันมาก เช่น เนื้อหมู เครื่องในสัตว์ เพราะฉะนั้นต้องกินเนื้อสัตว์พวกนี้แต่น้อย คุณหมอแนะว่ากุ้งมีไขมันน้อยกว่าอย่างอื่น
ของเค็มจะทำให้ตัวบวม คือร่างกายจะดูดน้ำเอาไว้มากไป ต้องกินอาหารรสจืดหน่อย และระมัดระวังน้ำตาล รวมถึงขนมทุกชนิด น้ำอัดลม น้ำผลไม้ที่บรรจุขวดหรือกระป๋องขาย ส่วนน้ำผลไม้คั้นดื่มได้
ข้อสอง กินอาหารที่มีกากมากๆ เช่น ข้าวซ้อมมือ ผัก ผลไม้ เลิกกินข้าวที่ขัดสีจนขาว หรือที่ผ่านกรรมวิธีมากๆ เช่น แป้ง เกี๋ยวเตี๋ยว เพราะมีกากน้อย ทำให้ท้องผูก
เมื่อท้องผูกกากอาหารค้างอยู่ในลำไส้นาน ร่างกายก็จะดูดซึมเอาไปใช้อีก ยิ่งทำให้อ้วนขึ้น ในข้าวซ้อมมือมีวิตามินต่างๆมากมาย ทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่ไม่ทำให้อ้วน ผักเอามากินสดหรือสุกก็ได้ แต่ถ้าจะผัดต้องใช้น้ำมันน้อยๆ แล้วเติมน้ำแทน ผลไม้กินได้ทุกชนิดและมากเท่าไหร่ก็ได้ ยกเว้นผลไม้ที่มีแคลอรีมากๆ ให้กินน้อยหน่อย เช่น ทุเรียน
ข้อสาม ออกกำลังบ้าง หลังอาหารเย็น 1 ชั่วโมง ให้เดินเร็วๆสัก 15-20นาที
ดิฉันทำตามที่คุณหมอแนะนำโดยไม่ต้องทรมานจิตใจเลย เพราะได้กินอิ่มครบทั้ง 3 มื้อ พอดีตอนนั้นเป็นหน้ามะม่วง ดิฉันชอบมะม่วงสุกมาก เลยกินมะม่วงสุกหลังอาหารมื้อละ 2 ลูก วันละ 6 ลูก โดยไม่อ้วนขึ้นเลย แต่มื้อเช้าดิฉันไม่สะดวกที่จะทำอาหาร เลยซื้อรำข้าวเป็นกล่องที่ส่งมาจากต่างประเทศ ใส่ลูกเกด และกินกับนมไม่มีไขมัน ต่อท้ายด้วยผลไม้อีก 1 อย่าง
บางคนอาจนึกขำที่กินรำข้าว แต่รำข้าวมีวิตามินมากมาย มีกากอาหารมาก เหมาะกับคนที่ต้องการลดความอ้วนมากทีเดียว มีข้อเสียคือรำข้าวที่ทำเป็นเกร็ดเป็นท่อนนั้นยังต้องส่งมาจากต่างประเทศ ของในประเทศมีแต่อย่างเป็นผง ซึ่งดิฉันเอามากินเปล่าๆ อย่างนี้กินไม่ลง แต่ถ้าใครกินได้ก็จะประหยัดเงินลงไปได้มาก
ผลของการกินอาหารแบบนี้ สัปดาห์แรกน้ำหนักลดลงไปถึง 3 กิโลกรัม สัปดาห์ต่อมาลดช้าลงเหลือ 1 กิโลกรัม ต่อมาก็ช้าลงอีก สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะตอนแรกเป็นน้ำหนักของน้ำที่ถูกขับออกมา ต่อมาจึงจะเป็นน้ำหนักที่ลดไปจริงๆ น้ำหนักดิฉันค่อยๆลดลงเหลือ 50 กิโลภายในเวลาเพียง 4-5 เดือนเท่านั้น สุขภาพทั่วไปดีขึ้นมาก ไม่เหนื่อยง่าย เวลาเหนื่อยก็หายในเวลาไม่นาน โรคปวดหลังหายไป และหายท้องผูกด้วย
ดิฉันลดความอ้วนสำเร็จอย่างสบายๆ ไม่ต้องทรมานเลย อยากจะบอกคนอื่นให้ทำตามบ้าง ไม่ต้องไปเสียเงินหลายพันให้สถานลดความอ้วนทั้งหลาย แต่ด้วยวิธีการกินอาหารให้ถูกต้อง และออกกำลังโดยเดินเร็วๆเท่านั้นเอง และได้ผลระยะยาวด้วย
อ้างอิง...นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่: 101 เดือน/ปี: กันยายน 2530 คอลัมน์: เล่าเรื่องให้เพื่อนฟัง นักเขียนรับเชิญ: มะลิ
Advertisements
Advertisements
0 ความคิดเห็น