หญิงสาวหน้าตาสวย รูปร่างอ้วน อายุประมาณ 30 เศษ ก้าวเดินฉับๆเข้าไปในร้านหมอ
หญิง : “ดิฉันต้องการมาลดไขมันค่ะ”
หมอ : “ไขมันที่ไหนครับ”
หญิง : “อ้าว...หมอไม่รู้เหรอว่าเขาลดไขมันที่ไหน ก็ลดไขมันที่ท้อง สะโพก ต้นขา นี่แหละค่ะ สำคัญกว่าที่อื่น”
หมอ : “ครับ ถ้าคุณจะลดไขมันที่ท้อง สะโพก และต้นขา คุณไม่ต้องหาหมอก็ได้ครับ เพราะการลดไขมันที่ท้อง สะโพก และต้นขานั้นคุณจะต้องทำด้วยตัวคุณเอง” หญิง : “ทำอย่างไรคะ”
หมอ : “ลดน้ำหนักครับ โดยลดอาหารลงให้มากๆ โดยเฉพาะอาหารจำพวกแป้ง อาหารหวาน และไขมัน เช่น ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ แกงกะทิ ของผัด ของทอด ของที่ใส่น้ำมัน ไอศกรีม น้ำอัดลม เป็นต้น
เมื่อคุณลดอาหารลงได้แล้ว ก็ควรออกกำลังกายเฉพาะส่วนเอว ส่วนท้อง ส่วนสะโพก และขาให้มากขึ้น”
หญิง : “ดิฉันเคยลดน้ำหนักแล้วค่ะ เคยกินยาลดความอ้วนที่คลินิกลดความอ้วนมาหลายแห่ง แต่มันก็ลดได้บ้างในช่วงที่กินยาอยู่ พอหยุดยาก็อ้วนขึ้นมาใหม่ และหลายครั้งอ้วนกว่าเดิมอีกด้วย”
หมอ : “ครับ ที่จริงคุณก็มีประสบการณ์มามากแล้ว คุณน่าจะช่วยตนเองได้”
หญิง : “หมอไม่ให้ยาลดความอ้วนช่วยดิฉันบ้างหรือคะ”
หมอ : “เอ...หมอว่าคุณเข้าใจผิด หรือมีคนทำให้คุณเข้าใจผิดว่ามียาลดความอ้วน ไม่มีหรอกครับยาลดความอ้วน”
หญิง : “มีสิคะ คลินิกตั้งหลายแห่งให้ยาลดความอ้วนหรือยาลดน้ำหนักแก่ดิฉัน กินแล้วทำให้คลื่นไส้ เบื่ออาหาร จนกินไม่ได้ แล้วน้ำหนักของดิฉันก็ลดลง แต่พอหยุดกินยา น้ำหนักกลับขึ้นอย่างรวดเร็ว และบางทีอ้วนกว่าเดิมอีกมาก”
หมอ : “ยาลดความอ้วนหรือยาลดน้ำหนักที่คุณใช้ไม่ใช่ยาลดความอ้วนหรือยาลดน้ำหนักหรอกครับ ต้องเรียกว่ายาเบื่ออาหารจึงจะถูกต้อง “เพราะยาเหล่านี้ไม่สามารถลดน้ำหนักหรือลดความอ้วนได้ ถ้าคุณยังกินอาหารเท่าเดิม“แต่เนื่องจากยาเหล่านี้ทำให้คุณเบื่ออาหารและเกิดอาการคลื่นไส้หรือทำให้ลิ้นรับรสชาติของอาหารผิดไป คุณจึงกินอาหารได้น้อยลง“การกินอาหารน้อยลงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผอมลง ไม่ใช่ยาหรอกครับ“คนบางคนคิดว่า ถ้ากินยาลดน้ำหนักแล้วจะกินอาหารได้เต็มที่ คนพวกนี้กลับจะอ้วนขึ้น แทนที่จะผอมลงครับ”
หญิง : “ถ้าอย่างนั้น หมอให้ยาลดไขมันแก่ดิฉันก็ได้ หมออย่าบอกว่า ไม่มียาลดไขมันอีกล่ะ”
หมอ : “ยาลดไขมันน่ะมีครับ แต่มันไม่สามารถลดไขมันในท้อง ในสะโพก และในต้นขาของคุณได้ มันลดได้เฉพาะไขมันในเลือดเท่านั้น ”
หญิง : “ดิฉันอ้วน มีไขมันมาก ไขมันในเลือดก็ต้องสูงด้วย จริงมั้ยคะ”
หมอ : “ไม่จริงครับ คนอ้วนนั้นอ้วนเพราะมีไขมันใต้ผิวหนัง และในท้องเพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ แต่ไขมันในเลือดจะสูงหรือไม่ก็ได้ครับ คุณพ่อคุณแม่หรือพี่น้องของคุณมีไขมันในเลือดสูงบ้างมั้ยครับ”
หญิง : “ไม่มีค่ะ คุณหมอถามทำไมคะ”
หมอ : “คนที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูงมักเป็นโรคที่สืบทอดทางกรรมพันธุ์โดยตรงหรือโดยอ้อม เช่น เป็นโรคเบาหวาน ซึ่งส่วนใหญ่สืบทอดกรรมพันธุ์ แม้จะไม่ใช่โรคที่ทำให้ไขมันในเลือดสูงโดยตรง แต่ถ้าควบคุมรักษาระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ดี ก็จะมีโอกาสทำให้ไขมันในเลือดสูงขึ้นอย่างมากๆได้ ซึ่งเป็นผลทางอ้อมจากการที่ควบคุมเบาหวานไม่ได้ดี ส่วนคนที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูงแต่กำเนิด พวกนี้จะสืบทอดทางกรรมพันธุ์โดยตรง ทำให้เป็นโรคไขมันในเลือดสูง โดยไม่ต้องเป็นโรคอื่นก่อน”
หญิง : “ตกลงหมอจะไม่ให้ยาลดไขมันแก่ดิฉันหรือคะ”
หมอ : “ถ้าหมอจะให้ยาลดไขมันคุณ หมอก็ต้องรู้ก่อนว่าไขมันในเลือดของคุณสูง และจะต้องสูงมากและสูงอย่างถาวร จึงควรจะใช้ยาลดไขมัน”
หญิง : “แล้วหมอดูไม่ออกหรือว่าไขมันในเลือดของดิฉันสูง”
หมอ : “ดูไม่ออกครับ ถ้าไขมันในเลือดของคุณสูง ก็ไม่สูงมาก เพราะยังไม่มีวงขาวรอบตาดำคุณ ไม่มีปื้นไขมันที่หนังตาคุณ และไม่มีก้อนไขมันที่ข้อศอกของคุณ เท่าที่หมอมองเห็นได้”
หญิง : “โคเลสเตอรอลในเลือดของดิฉัน 240 ค่ะ สูงมั้ยคะ”
หมอ : “จะถือว่าสูงก็ได้ ไม่สูงก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าก่อนไปตรวจเลือดในตอนเช้านั้นคุณอดอาหารมาแล้วอย่างน้อย 12 ชั่วโมงหรือไม่ “ถ้าคุณอดอาหารมาน้อยกว่านั้น ค่าที่ได้อาจนำมาแปลผลลำบาก
“นอกจากนั้น ถ้าในระยะ 2-3 วันก่อนตรวจเลือด คุณกินอาหารมันมากๆ เช่น ไปกินหมูหัน สเต็ก เนื้อมันๆ เป็ดปักกิ่ง หรือของมันๆอื่นๆมาตลอด เวลาไปตรวจเลือดไขมันเหล่านี้ก็จะสูงขึ้น
“ไขมันในเลือดโดยเฉพาะโคเลสเตอรอลยังขึ้นๆลงๆตามปัจจัยอื่นๆอีก เช่น เครียดมากหรือนาน ก็จะสูงขึ้น ออกกำลังกายเป็นประจำก็จะลดลง ทำสมาธิวิปัสสนาได้ดีก็จะลดลง เป็นต้น
“ดังนั้น ถ้าคุณเจาะเลือดครั้งเดียว แล้วพบว่าไขมันสูง อย่าเพิ่งปักใจเชื่อว่าไขมันในเลือดของคุณสูงจริงหรือสูงมานาน “คุณลองระวังอาหารสักหน่อย และพยายามลดความเครียดลง แล้วอีก 2 - 3 สัปดาห์ลองไปเจาะเลือดดูใหม่ ผลเลือดอาจแตกต่างจากครั้งก่อนได้อย่างมากๆ”
หญิง : “ถ้าเจาะใหม่แล้วยังสูง 240 ล่ะคะ”
หมอ : “ก็ยังไม่ต้องใช้ยาลดไขมันอยู่ดี ควรลดอาหารไขมันลงมากๆ โดยเฉพาะไขมันจากสัตว์ เช่น น้ำมันหมู ไข่แดง มันสัตว์ เช่น คอหมูเนื้อสามชั้น เบคอน ไส้กรอก นมเนย เป็นต้น “แล้วออกกำลังกายเป็นประจำ โดยเริ่มน้อยๆก่อนแล้วค่อยๆเพิ่มขึ้น จนเหงื่อออกพอสมควรทุกวัน ร่างกายคุณจะแข็งแรงขึ้น และไขมันจะลดลง”
หญิง : “หมายความว่า คุณหมอจะไม่ยอมให้ยาอะไรแก่ดิฉันเลย”
หมอ : “โดยความจริงแล้ว คุณยังไม่ได้เป็นโรค เพียงแต่อ้วนเท่านั้น หรือคุณจะเรียกว่า ‘โรคอ้วน’ก็ได้ เพราะถ้าทิ้งไว้นานๆมันจะนำพาโรคอื่นมาให้ “การรักษาโรคอ้วน’ นั้นขึ้นอยู่กับตัวคุณเองที่จะต้องลดอาหารลง โดยเฉพาะอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล และของมันต่างๆ” หญิง : “หมอบางคนเขามีอาหารลดความอ้วน หมอไม่มีหรือคะ” หมอ : “อาหารลดความอ้วนที่ดีที่สุดคือ ผักและน้ำ กินผักและน้ำให้อิ่มท้องก่อนจะกินอาหารอื่นจะทำให้ลดอาหารอื่นลงได้ เช่น ดื่มน้ำสัก ๓-๔ แก้วก่อนกินอาหารทุกมื้อ อาจใช้เม็ดแมงลักสัก ๑-๒ ช้อนโต๊ะคนๆกับน้ำแล้วดื่มตามลงไปด้วย เม็ดแมงลักจะไปพองตัวในกระเพาะ ทำให้อมอยู่ได้นาน แล้วยังช่วยให้อุจจาระนุ่ม ถ่ายสบายอีกด้วย” หญิง : “นี่หมอจะไม่ให้ยาอะไรดิฉันเลยหรือ แล้วหมอจะคิดค่ายาอย่างไร” หมอ : “ก็ร่างกายคุณไม่ต้องการยาอะไรเลย มีแต่ใจของคุณที่อยากได้ยาเพื่อช่วยกำลังใจคุณบ้าง
“ถ้าคุณอยากได้ยาจริงๆ หมอก็จะให้วิตามินรวมคุณไปกินวันละ 1-2 เม็ด เพราะการลดอาหารบางอย่างอาจทำให้ร่างกายขาดวิตามินบางตัวได้”
หญิง : “ดิฉันไม่เอาวิตามินค่ะ เพราะกลัวว่ากินแล้วจะอ้วน”
หมอ : “วิตามินไม่ทำให้อ้วนครับ และก็ไม่ใช่ยาบำรุงร่างกายด้วย มันมีประโยชน์สำหรับรักษาโรคที่เกิดจากการขาดวิตามินเท่านั้น ถ้าร่างกายไม่ขาดวิตามิน กินไปก็เปลืองท้อง และเปลืองเงินเปล่าๆ
” หญิง : “ขอบคุณมากค่ะ ตกลงหมอเสียเวลาเปล่านะคะ เพราะหมออยากไม่จ่ายยาให้ดิฉันเอง”
หมอ : “ไม่เป็นไรครับ เมื่อคุณลดน้ำหนักได้แล้ว เอาเงินที่เก็บได้จากการซื้อยาซื้ออาหารที่ไม่จำเป็นไปช่วยเหลือเด็กที่ยากจนและขาดแคลนอาหารบ้างก็แล้วกันครับ”
อ้างอิงบทความจาก....นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่: 181 เดือน/ปี: พฤษภาคม 2537 คอลัมน์: มาเป็นหมอกันเถิด นักเขียนหมอชาวบ้าน: ศ.นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ / เว็บไซต์หมอชาวบ้าน
Advertisements
Advertisements
0 ความคิดเห็น